ฟู้ดเซฟตี้ในมือพ่อค้า (หยั่งรากผลิใบ)
โครงสร้างการใช้สารเคมีเกษตร ไม่ว่าปุ๋ยเคมี หรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในประเทศไทย เป็นเรื่องน่าห่วงยิ่ง
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ประทับตราความห่วงใยนี้ได้อย่างชัดเจน หลังจากประเมินผลแผนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยด้านอาหาร ( 2547-2550) แล้วเสร็จ และพบว่า 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ด้านปัจจัยการผลิต และวัตถุดิบ ยังมีปัญหาว่า ภาครัฐยังมีบทบาทต่ำในการให้ความรู้ และการตัดสินใจใช้สารเคมีของเกษตรกร ตรงข้ามเกษตรกรต้องฟังตัวแทนจำหน่ายสารเคมีมาก
ผมไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เพราะกระทรวงเกษตรฯไม่เคยมีทิศทางในเรื่องนี้แต่อย่างใด ตรงข้ามปล่อยปละละเลยมาโดยตลอด จนผมเองไม่เข้าใจเลยว่า กรมวิชาการเกษตรในฐานะผู้มีอำนาจควบคุมพรบ.วัตถุมีพิษได้ดำเนินการในทิศทาง ที่จะควบคุมเรื่องนี้จริงจังแค่ไหน
ป่วยการโทษอธิบดีคนปัจจุบัน ตรงข้ามกระทรวงเกษตรฯก็ดี กรมวิชาการเกษตรเองก็ดี ได้ละเลยต่อบทบาทการเป็นผู้ให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างแท้จริงเป็นระยะเวลา ยาวนานอย่างต่อเนื่อง นานจนกระทั่งหลงลืมว่า นี่คือ บทบาทภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการเกษตรไทย
กรมวิชาการเกษตร ทำหน้าที่เพียงแค่คนที่มีหน้าที่กับพ่อค้า หลักๆ คือ การขึ้นทะเบียนสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งต้องใช้วิชาการ และอาศัยเวลาในการทดสอบทดลอง ถนนพ่อค้าทุกสายจึงต้องมุ่งมาที่นี่ เพื่อขึ้นทะเบียนให้ได้ แล้วจึงจะมีสิทธิขายสินค้าเหล่านี้ได้
กรมวิชาการเกษตรมีหน้าที่อะไรอีกหลังจากนั้น อาจมีบ้างในเรื่องการตรวจสอบปุ๋ยเคมีปลอมปน สารกำจัดศัตรูพืชที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มากนัก ไม่ต่อเนื่อง เป็นเพราะมันไม่เร้าใจยังไงไม่ทราบได้
ส่วนเรื่องการให้ความรู้เกษตรกรในเรื่องปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช อันนี้แทบไม่ได้พูดถึงกัน และในความเป็นจริง หน้าที่ในการให้ความรู้แก่เกษตรกรได้ผลักให้เป็นหน้าที่ของตัวแทนจำหน่ายสาร เคมีเกษตรของเอกชน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า เซลส์ขายยา(สารเคมี)
กระทรวงเกษตรฯปล่อยให้เซลส์ขายสารเคมี ทำหน้าที่ให้ความรู้เกษตรกรมานานโข จนลืมไปว่าตัวเอง ทั้งกระทรวงนั่นแหละคือ ผู้ที่ต้อง ให้ความรู้ ให้การศึกษา ให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรอย่างจริงจัง ทั้งเพื่อประสิทธิภาพในการใช้ การลดต้นทุนอย่างแท้จริง และผลประโยชน์ระยะยาวทุกประการ
นอกจากกระทรวงเกษตรฯหลงทางเรื่องสารเคมีเกษตรเป็นเด้งแรกแล้ว ยังหลงเด้งสองด้วยการใช้นโยบายลด ละ เลิก ใช้สารเคมีเกษตร ฟังแล้วดูดี เนื้อแท้เป็นเรื่องการกลบขี้ของตัวเองมากกว่า
ซ้ำร้ายไม่ได้เกิดประโยชน์แท้จริงในกระบวนการพัฒนาการเกษตรไทยอย่างแท้จริง
หลอกให้คนเห็นว่า ประเทศไทยสนับสนุนเกษตรอินทรีย์สุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในทางปฏิบัติแม้แต่น้อย อย่างไรเสียเรายังต้องพึ่งสารเคมี ยังต้องใช้สารเคมี ซึ่งรัฐเองไม่มีน้ำยาให้ความรู้ ให้การศึกษาอย่างถ่องแท้แก่เกษตรกร
ยังคงปล่อยให้พ่อค้าเห็นแก่ได้สูบเลือดเกษตรกรผ่านกองทัพเซลส์แมนที่มีพลัง ปาก พลังความใกล้ชิด เป็นอาวุธที่เฉียบคมมากกว่าคนของรัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีทิศทางรบกำกับแม้แต่น้อย
เอวังนะครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า 26 มี.ค. 2553