มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชวนผู้บริโภคแบนรถไฟฟ้าบีทีเอส หลังประกาศยกเลิกบัตรรายเดือน เรียกร้องรัฐบาลเข้ามากำกับดูแลอย่างเร่งด่วน ชี้รถไฟฟ้าบีทีเอสเอาเปรียบซ้ำเติมผู้บริโภค หวังกดดันรัฐบาลให้ต่อสัญญาสัมปทานใหม่
จากกรณีที่รถไฟฟ้าบีทีเอสแจ้งสิ้นสุดโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท โดยผู้โดยสารสามารถซื้อหรือเติมเที่ยวเดินทาง ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย โดยอ้างเหตุผลว่า พฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อนนั้น ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก ในความคิดเห็นใต้โพสต์ประกาศของเฟซบุ๊กแฟนเพจรถไฟฟ้าบีทีเอส มีแต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกดังกล่าว เพราะได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจาก ผู้บริโภคที่ใช้บัตรโดยสารแบบเติมเที่ยวเดินทาง 30 วัน ว่า เมื่อเห็นประกาศแล้วถึงกับตกใจ เพราะส่งผลกระทบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก กระทบทั้งนักเรียน/นักศึกษา และคนทั่วไป การเติมเที่ยวเดินทาง 30 วันจะประหยัดจากราคาปกติค่อนข้างมาก อย่างเช่น 1 เที่ยว จากอ่อนนุชถึงหมอชิต ราคา 44 บาท พอเติมเที่ยวเดินทาง 15 เที่ยว จะเหลือ 31 บาท ประหยัดไป 13 บาท เติมเที่ยวเดินทาง 50 เที่ยว จะเหลือ 26 บาท ประหยัดไป 18 บาท หากซื้อจำนวนเที่ยวมากจะก็มีส่วนลดประมาณ 50% ซึ่งรวมแล้วไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ฉะนั้นหากกลับมาใช้ราคาปกติจึงเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าค่าแรงที่ได้รับ
จากกรณีดังกล่าว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเห็นว่า การที่รถไฟฟ้าบีทีเอสอ้างถึงพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะภายหลังที่รัฐบาลคลายมาตรการล็อคดาวน์ (1 ก.ย.) จะเห็นว่ามีผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นจำนวนมาก ถ้าจะประเมินช่วง Work from home ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปนั้นไม่ถูกต้อง เพราะรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นบริการสาธารณะที่ต้องเน้นให้บริการประชาชน ไม่ใช่เน้นแต่ด้านกำไรเพียงอย่างเดียว ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลให้คนตกงาน หารายได้ไม่ได้ แทนที่ประชาชนจะได้ประหยัดจากบัตรรายเดือน การยกเลิกบัตรรายเดือนจะเป็นการสร้างวิกฤตใหม่ซ้ำเติมค่าครองชีพ และผลักภาระให้กับประชาชนจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ การตัดสินใจของบีทีเอสครั้งนี้ ถือเป็นนโยบายที่เข้าข่ายเอาเปรียบ ผลักภาระให้ผู้บริโภค และหวังผลกดดันรัฐบาลให้ต่อสัญญาสัมปทานใช่หรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมต้องการคำตอบจากบีทีเอส ?”
ดังนั้นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการกำกับกรณีนี้อย่างเร่งด่วน เพราะระบบรถไฟฟ้าเป็นบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งไม่สามารถใช้กลไกราคาหรือกลไกตลาด กำไร ขาดทุนมาจัดการกำหนดราคาได้ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องกำหนดนโยบาย กำกับ และดูแลให้ค่าบริการสาธารณะเหล่านี้ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพของประชาชน เพื่อยึดหลักการเข้าถึงได้ของบริการขนส่งมวลชนของคนทุกคน และคำนึงถึงปัญหาความเดือดร้อนและภาระเกินสมควรของผู้บริโภคท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ในปัจจุบัน
ทั้งนี้สำหรับผู้บริโภคที่ถูกเอาเปรียบจากการยกเลิกบัตรรายเดือนของบีทีเอสนั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขอเชิญชวนให้ผู้บริโภคทุกคนร่วมแสดงพลังไม่สนับสนุนสินค้าและบริการของรถไฟฟ้าบีทีเอส และร่วมกันคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานใหม่จนกว่าจะได้ราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับผู้บริโภคทุกคน เพื่อแสดงเจตจำนงและพลังของผู้บริโภคที่จะไม่ยอมจำนนต่อการเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจแบบนี้