โดยกลุ่มตัวแทนผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ที่มายื่นหนังสือ ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เป็นจำนวนมาก ในขณะที่การเข้าถึงยารักษาโรคยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง สาเหตุหลักมาจากคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบคัดกรองตรวจหาเชื้อ และ ส่วนที่ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วพบว่าหลายคนยังไม่ได้รับการรักษาเนื่องจากระบบการรักษายังไม่พร้อม โดยปัจจุบันประเทศไทยเริ่มมีตัวยาใหม่ที่รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี ให้หายได้แล้ว แต่ยามีราคาแพงมาก บางชนิดมีราคาสูงถึงเม็ดละ 30,000 บาท
นายสมชาย นามสพรรค ตัวแทนผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เผยประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับซีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้จริง แม้ในสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้บรรจุยารักษาโรคนี้ ไว้แล้วตั้งแต่ปี 2557 แต่กลับพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษามีจำนวนน้อยมาก สาเหตุหลักๆ มาจากการที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการคัดกรองตรวจหาเชื้อ ส่วนที่ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วและพบว่าติดเชื้อฯหลายคนไม่ได้รับการรักษา เพราะระบบการรักษายังไม่พร้อม ทั้งตัวแพทย์ที่รักษา โรงพยาบาลที่ไม่รู้ว่าสามารถเบิกได้จากระบบบัตรทอง ไม่นับรวมคนที่ใช้สิทธิรักษาอื่นเช่นประกันสังคมที่ยังไม่ชัดเจนว่ารองรับ การรักษาโรคนี้หรือไม่
นอกจากนี้ปัญหาของยาที่มีในระบบบัตรทองคือเพ็กอินเทอร์เฟอร์รอล (Peginterferon) ซึ่งเป็นยาแบบเก่าที่ใช้ฉีด และต้องรักษานานกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า รวมทั้งผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งผู้ให้บริการเองก็ไม่อยากรักษา และที่สำคัญโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ป่วยเป็นตับ แข็งและเป็นมะเร็งตับในที่สุด
“มีเพื่อนบางคนที่มีประสบการณ์การรักษาแล้วในปัจจุบันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับผลข้างเคียงค่อนข้างสูงจากยาฉีดสเตอรอยด์ บางคนถึงขั้นเกล็ดเลือดต่ำต้องไปให้เลือดที่โรงพยาบาล บางคนผมร่วง มีภาวะซึมเศร้า มีไข้สูงมาก ซึ่งอันนี้อาจเป็นปัญหาของคนรักษากับยาปัจจุบันนี้” นายสมชาย กล่าว
ด้าน นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์เพื่อเข้าถึงการรักษา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มมียาใหม่ที่รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หาย ขาดได้ ระยะเวลาการรักษาสั้นลงและแทบไม่มีผลข้างเคียง แต่ยามีราคาแพงมาก ตังอย่างเช่นยาโซฟอสบูเวียร์ (Sofosbuvir) ของบริษัทกิลิแอด หากรักษาจนครบ 3 เดือนจะต้องจ่ายเงินประมาณ 2.5 ล้านบาท หรือตกเม็ดละ 30,000 บาท
“ราคายาเม็ดเดียวเท่ากับซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนยี่ห้อดังได้ 1 เครื่องกินวันละเม็ดก็เท่ากับซื้อโทรศัพท์วันละเครื่อง” นายเฉลิมศักดิ์ กล่าว
นายเฉลิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ในระดับสากลยาโซฟอสบูเวียร์ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนว่าสมควรที่จะได้ รับสิทธิบัตรในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ยุโรป อียิปต์ โมร็อคโค ยูเครน รัสเซีย จีน อินโดนีเซีย เป็นต้น เนื่องจากเทคโนโลยีในการผลิตยาไม่เข้าหลักเกณฑ์การให้การคุ้มครองสิทธิบัตร ในเรื่อง “ความใหม่” และ “ขั้นตอนการผลิตที่สูงขึ้น” นักวิเคราะห์บางคนประเมินว่าต้นทุนการผลิตที่แท้จริงอาจมีราคาไม่ถึง 100 บาทต่อเม็ด
“ยาตัวนี้มันแนวโน้มหรือข้อสังเกตว่ามันไม่น่าจะใหม่จริง คือเป็นยาสารตั้งต้นที่แบบเดิมๆ แต่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ขั้นตอนการผลิตก็ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นมากเลย ก็เลยเป็นกรณีฟ้องคัดค้านขอสิทธิบัตรยาตัวนี้อยู่ทั่วโลก ตอนนี้อินเดียยื่นคัดค้านไปแล้ว 7 คำคัดค้านในยาตัวเดียว ในยุโรปก็เช่นกัน และมีบางประเทศปฏิเสธคำขอสิทธิบัตรไปแล้ว เช่น อียิปส์ และจีน” เจ้าหน้าที่รณรงค์เพื่อเข้าถึงการรักษา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
เล่ห์กลอีกอย่างที่บริษัทยากิลิแอดได้การทำสัญญากับบริษัทผู้ผลิตยาชื่อ สามัญในอินเดีย 11 บริษัท โดยมีเงื่อนไขให้บริษัทยาอินเดียผลิตยาโซฟอสบูเวียร์ และขายในราคาที่ถูกลงได้ แต่ให้ขายเฉพาะบางประเทศที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น โดยยกเว้นไม่ขายให้กับประเทศกำลังพัฒนาจำนวน 51 ประเทศ ซึ่งมีผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีรวมกันมากกว่า 50 ล้านคน และไทยเป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น
ทางด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การที่บริษัทยาสามารถใช้ช่องทางกฎหมายสิทธิบัตรผูกขาดราคายาได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากระบบของรัฐที่มีช่องโหว่ โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยา
“เชื่อหรือไม่ว่าในประเทศไทยมีการทำข้อมูลวิจัยย้อนหลังเพื่อดูว่า ที่ผ่านมา เรามีการให้สิทธิบัตรยาที่ไม่สมควรได้รับสิทธิบัตรไปแล้วเท่าไหร่ ผลวิจัยพบว่ามีคำขอมากกว่า 70% ที่ไม่สมควรจะได้รับสิทธิบัตร ซึ่งหมายความว่าสิทธิบัตรยาเหล่านี้สามารถผูกขาดตลาดยานั้นๆ ได้ถึง 20 ปีหรืออาจมากกว่านั้น” นายนิมิตร์ กล่าว
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่ากฎหมายสิทธิบัตรจะเปิดโอกาสให้มีการยื่นคัดค้านหากพบว่าคำขอนั้นไม่ เข้าข่ายสิ่งประดิษฐ์ใหม่ หรือมีขั้นตอนการผลิตที่สูงขึ้น แต่กลับพบว่าระบบการประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรรวมทั้งระบบการสืบค้นข้อมูลคำ ขอที่ดูแลโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เอื้ออำนวยและยากต่อการสืบค้น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสิทธิบัตรที่ไร้คุณภาพ
“กรมทรัพย์สินทางปัญญา ต้องการเร่งแก้ปัญหาระบบตรวจสอบคำขอสิทธิบัตร โดยเฉพาะสิทธิบัตรยา ที่มีความต่างจากสินค้าอื่นที่ต้องการการพิจารณาที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงสิทธิคุ้มครองผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาคู่กันไปด้วย แต่ทุกวันนี้แม้ว่าจะมีการผลักดันให้เกิดคู่มือการตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรยา แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ไม่รู้ว่าทำไมกรมทรัพย์สินฯ ถึงยังไม่สามารถยกระดับประสิทธิภาพเรื่องนี้ได้ แบบนี้สู้ไม่ต้องมีกรมฯ นี้น่าดีกว่า” นายนิมิตร์ กล่าว
ด้าน นพ.สุรเชรฐ สถิตนิรมัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้หารือกับกระทรวงพาณิชน์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และองค์การเภสัชกรรม พร้อมพิจารณาเหตุผลต่างประเทศประกอบด้วย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับสังคมไทยและบริษัทที่คิดค้นยา
“เนื่องจากเป็นยาใหม่ ต้องให้ อย.ซึ่งจะมีความรู้มากพอ ถ้าหากว่าในช่องทางของกฎหมายเป็นอย่างไรที่เป็นธรรมต่อสังคมไทย และเป็นธรรมต่อบริษัทค้นคิดยา อันนี้ก็ดูเพื่อความสมดุล อย่างไรเสียเราก็มีเครื่องมี กระทรวงพาณิชย์ อย. และองค์การเภสัชกรรม ทั้ง 3 หน่วยงานนี้ช่วยกันดู ส่วนผลอย่างไรวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ” รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ทั้งนี้ในวันเดียวกัน (20 พ.ค.) ทั่วโลกได้มีการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันและประณามพฤติกรรมของบริษัทยากิลิแอด ที่ดำเนินธุรกิจขายยาดังกล่าวอย่างไร้มนุษยธรรม หลายประเทศเช่น บราซิล อาร์เจนติน่า ยูเครน และรัสเซีย เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม จะยื่นคัดค้านคำขอสิทธิบัตรยาโซฟอสบูเวียร์ของบริษัทกิลิแอดต่อสำนักงาน สิทธิบัตรในประเทศของตัวเองพร้อมกัน ส่วนอินเดีย โมร็อคโคและไทย กลุ่มผู้ติดเชื้อฯและภาคประชาสังคม ได้จัดรณรงค์พร้อมกันในวันนี้เพื่อเรียกร้องให้บริษัทกิลิแอดหยุดพฤติกรรม ที่ไร้มนุษยธรรมนี้ทันนี้
ข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาสังคมและกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ได้แก่
- กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องนำคู่มือตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรยาที่ประกาศ ใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2556 มาใช้อย่างเคร่งครัดในการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรก่อนอนุมัติ เพื่อไม่ให้มีสิทธิบัตรยาที่ไร้คุณภาพและไม่สมควรได้รับการคุ้มครองได้รับ การอนุมัติออกมามากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสร้างระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มแข็งและสอดคล้อง กับการพัฒนาของประเทศ
- กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องกำหนดกรอบระยะเวลาในการดำเนินการในขั้นตอนการ ตรวจสอบสิทธิบัตรที่ชัดเจน และแจ้งต่อสาธารณะเพื่อความสะดวกในการติดตามเฝ้าระวัง
- กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องสนำเสนอข้อมูลคำขอรับสิทธิบัตรที่ประกาศโฆษณา แล้วสู่สาธารณะ โดยผ่าน website ของกรมฯอย่างทันท่วงทีและมีเนื้อหาที่สมบูรณ์ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรได้ทันในระยะเวลาที่ กฎหมายกำหนด
- กระทรวงสาธารณสุขควรพิจารณานำมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ หรือ Compulsory Licensing มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี เพื่อให้มีการผลิตหรือนำเข้ายาชื่อสามัญที่มีคุณภาพราคาเหมาะสมมาใช้ในระบบ หลักประกันสุขภาพ