บริการสุขภาพ

ถกเข้มวางมาตรการกัน ‘ไข้หวัดหมู’

            นายวิทยา แก้วภารดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดหมูในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกกำลังเข้าไปพิสูจน์ยังประเทศแม็กซิโก และรอประกาศถึงระดับความรุนแรง โดยในวันนี้ (27 เม.ย.) กระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการรวบรวมข้อมูล และเตรียมความพร้อมเพื่อวางหลักเกณฑ์ถึงการเฝ้าระวังหากเกิดการระบาดในประเทศไทย หน่วยปฏิบัติการต้องรับรู้ และสามารถใช้ห้องชันสูตรเพื่อพิสูจน์โรคได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับประสานงานกับกรมปศุสัตว์ แม้ข้อเท็จจริงที่ได้รับเบื้องต้นหวัดพิษที่แพร่ระบาดไม่ได้เกิดจากหมูมาสู่คน แต่เป็นไข้หวัดที่มีสายพันธุ์ในพันธุกรรมบางประการที่เกี่ยวข้องกับหมู แต่การแพร่ระบาดจะเป็นการแพร่จากคนมาสู่คนมากกว่า ซึ่งแตกต่างจากกรณีไข้หวัดนกที่แพร่จากสัตว์ปีกมาสู่คน ทั้งนี้เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าบริโภคเนื้อหมู แต่หากบริโภคเนื้อหมูปรุงสุกได้ก็จะดีต่อสุขภาพ 
          สำหรับอาการเบื้องต้นของผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูเป็นลักษณะไข้หวัด และมีอาการปวดเมื่อยตามกระดูกที่รุนแรง แต่ความรุนแรงยังไม่เท่ากับการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งดูได้จากตัวเลขของผู้ป่วยที่พบอยู่ในประเทศแม็กซิโกประมาณ 1,400 ราย เสียชีวิตแล้วประมาณ 81 ราย อัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 8 เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อไข้หวัดนกถ้าแพร่ระบาดอยู่ในคนอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 60 
 

          ทางการแคนาดาเปิดเผยว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส H1N1 หรือ ไข้หวัดหมู 6 คนภายในประเทศ ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่กำลังแพร่ระบาดในเม็กซิโก และคาดว่าจะจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก

 

          สัตวแพทย์ยันเนื้อหมูในไทยกินได้

 

          น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช ผู้เชี่ยวชาญไข้หวัดหมู ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไข้หวัดหมูในเมืองไทยมีอยู่แล้ว และโชคดีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับเม็กซิโก ประกอบกับระบบการเลี้ยงหมูของบ้านเราดีกว่า ไม่มีการเลี้ยงต่างสายพันธุ์จึงลดโอกาสผสมผสานของเชื้อได้ ประกอบกับไม่มีการทำวัคซีนหมู ส่วนไข้หวัดหมูเม็กซิโกในบ้านเรายังไม่มี ซึ่งไข้หวัดหมูเม็กซิโกเกิดจากกลายพันธุ์ที่มีการผสมผสานยีนต์ต่างๆ

 

          น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า ไข้หวัดหมูเม็กซิโก คาดว่าจะมีเชื้อหวัดนกและหวัดคนไปสู่หมู และจากคนสู่คน กลายเป็นคนเป็นพาหะที่เป็นจุดสำคัญ ซึ่งจุดแรกที่สังเกตได้คือ อาการจะเหมือนไข้หวัด และคนงานส่วนใหญ่ที่เลี้ยงหมูในอเมริกาจะเป็นชาวเม็กซิโก เมื่อคนงานเหล่านี้กลับไปเม็กซิโกอาจมีภูมิต้านทานไม่ดี การรักษาไม่ค่อยดี ต่างจากอเมริกาที่เป็นแล้วหายเพราะมีการรักษาทันท่วงที และมีสุขอนามัยที่ดีกว่า

 

          ส่วนความต่างระหว่างไข้หวัดหมูกับไข้หวัดนกนั้น ไข้หวัดนกจะไปทุกระบบของร่างกาย แต่หวัดหมูจะไปเฉพาะทางเดินลมหายใจ เมื่อลมหายใจล้มเหลวก็ตายได้ ทั้งนี้การรับประทานเนื้อหมูไม่มีปัญหาที่น่ากลัว เพราะจะเกิดจากคนในการแพร่โรค ที่เดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะจุดที่มีความเสี่ยง สำหรับหมูที่เป็นไข้หวัดหมูจะมีอาการจาม มีน้ำมูก 2 - 3 วันจะหายป่วยไม่เกินสัปดาห์ ยกเว้นมีการแทรกซ้อนจากอาการอื่น หรือสัตว์ตัวนั้นไม่เคยมีภูมิมาก่อน

 

          คาดระบาดหนักสุดรอบ41ปี

 

          ภาพ:AFPองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ไข้หวัดหมูที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากเม็กซิโก ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยในเม็กซิโกเสียชีวิตแล้ว 81 คน และคาดว่าการแพร่ระบาดจะรุนแรงที่สุดในรอบ 41 ปี ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (UN) จัดประชุมวาระเร่งด่วนและกำลังประเมินสถานการณ์ว่าควรจะเพิ่มการประกาศเตือนเฝ้าระวังไวรัสไข้หวัดหมูทั่วโลกหรือไม่

 

          ภาวะตื่นตระหนกเรื่องไข้หวัดหมูส่งผลให้รัฐบาลทั่วเอเชียตื่นตัวรับมือกับการแพร่ระบาด โดยทางการญี่ปุ่นสั่งให้เพิ่มการตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเม็กซิโก ประเทศต้นเหตุการณ์ระบาด ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และยืนยันว่ายาทามิฟลูสามารถรักษาอาการติดเชื้อได้ และญี่ปุ่นมียาดังกล่าวเพียงพอ

 

          ส่วนรัฐบาลเกาหลีใต้และไต้หวันสั่งให้ตรวจสอบผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อ นอกจากนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ยังสั่งระงับการจำหน่ายเนื้อหมูจากเม็กซิโกและสหรัฐเป็นการชั่วคราว

 

          นอกจากนี้ จีน ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ซึ่งเคยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของเชื้อไข้หวัดนก H5N1 กำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเริ่มการตรวจอย่างเข้มงวดตามสนามบินทุกแห่ง และรัฐบาลออสเตรเลียสั่งให้ประชาชนที่เดินทางกลับจากเม็กซิโกและมีอาการต้องสงสัย ให้รับการตรวจสอบจากแพทย์โดยด่วน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน

 

          สหรัฐเตือนภัยไข้หวัดหมู

 

          รัฐบาลสหรัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดหมู (H1N1) ในสหรัฐและเม็กซิโกพุ่งสูงขึ้น พร้อมระบายยาทามิฟูลต้านไวรัสไข้หวัดหมูออกจากคลังสำรอง

 

          ดร.ริชาร์ด เบสเซอร์ รักษาการณ์ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) เป็นผู้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำเนียบขาวในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาประเทศไทย หลังจากรัฐบาลแคนาดายืนยันพบผู้ป่วย 6 ราย ขณะที่บราซิล ยุโรป และนิวซีแลนด์ พบผู้สงสัยติดเชื้อหลายคน ส่วนที่สหรัฐพบผู้ติดเชื้อแล้ว 20 รายใน 5 รัฐ และคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก

 

          "เราประเมินสถานการณ์แล้วพบว่า การแพร่ระบาดจะรุนแรงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐกำลังใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพของประชาชน เราคาดว่าการให้คำแนะนำด้านการป้องกันจะมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะๆตามความรุนแรงของสถานการณ์" ดร.เบสเซอร์กล่าว

 

          การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของรัฐบาลสหรัฐมีขึ้นหลังจากทางการแคนาดาเปิดเผยว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส ไข้หวัดหมู 6 คนภายในประเทศ ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่กำลังแพร่ระบาดในเม็กซิโก และคาดว่าจะจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก

 

          ด้านนางเจเน็ต นาโปลิทาโน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐกล่าวว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดหมู แต่ทางการสหรัฐได้ระบายยาต้านไวรัส รวมถึงยาทามิฟลูออกจากคลังสำรองประมาณ 25% แล้ว โดยยาทามิฟลูต้านไวรัสไข้หวัดหมูผลิตโดยบริษัท โรช โฮลดิ้งและแกล็คโซสมิธไคลน์ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน

    

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

ที่มาภาพประกอบ: อินเทอร์เน็ต

 

พิมพ์ อีเมล

เลือดตกในหัว อย่ามัวนอนใจ

สมองเป็นอวัยวะอัศจรรย์ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง มักจะพยายามทำงานอยู่ต่อไป เพื่อไม่ให้อวัยวะอื่นต้องล้มครืน วันหนึ่งหากสมองบาดเจ็บจะทำอย่างไร

เมื่อดาราเจ้าบทบาทที่ยังดูสาวและสวยเก๋อย่าง "นาตาชา ริชาร์ดสัน" ต้องลาจากโลกเซลลูลอยด์ด้วยวัยเพียง 45 ปี ก็ทำให้โลกพากันตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอเป็นแน่  และที่สำคัญ ทำไมหลังเกิดอุบัติเหตุช่วงแรกเธอก็ยังลุกขึ้นมาคุยเล่นได้ตามปกติแต่คล้อยหลังจากนั้นเพียงชั่วโมงเดียวมัจจุราชก็มาปลิดชีพเธอไปเสียแล้ว 

 


 ทางการแพทย์แล้ว กรณีอุบัติเหตุศีรษะกระแทกหรือถูกตีด้วยประการใดๆ ก็จะทำให้เสียชีวิตได้โดยแทบจะไม่มีสัญญาณใดเตือนเลยในตอนแรก 

 


 สมองของคนเราเป็นอวัยวะที่อัศจรรย์ตรงที่ว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง มักจะยังพยายามทำงานอยู่ต่อไปเพื่อไม่ให้อวัยวะอื่นที่มันคุมต้องล้มครืนลงไปเป็นลูกโซ่ด้วยราวกับเศรษฐกิจยุคนี้ 

 


 อย่างไรก็ดี ความสามารถนี้กลับเป็นข้อเสียยามที่สมองเกิดมีเลือดออกอย่างรุนแรง เพราะว่าถ้ามีอาการเสียได้ตั้งแต่แรกก็จะช่วยผ่าตัดเปิดกะโหลกระบายเลือดออกได้ทัน เพราะกะโหลกคนเรานี้ไม่ได้สร้างไว้ให้มีที่เผื่อเตะตะกร้อแต่อย่างใด  เมื่อมีสิ่งใหม่เพิ่มเข้ามาเช่นเลือดมันจึงกลายเป็นความดันมหาศาลในกะโหลกศีรษะ

 


 บริเวณของกะโหลกศีรษะที่ถือเป็นจุดอ่อนที่ต้องระวังไว้ให้ดีก็คือ “เหนือกกหู” หรือที่สมัยก่อนเรียกกันว่าทัดดอกไม้ครับเพราะบางมากขนาดนักเลงเอาตะพดตีไม่แรงนักก็แตกร้าวมีเลือดออกได้  ส่วนบริเวณที่หนาแข็งที่สุดของกะโหลกนั้นอยู่ที่ท้ายทอยครับ  เรียกว่าถ้าจวนตัวจะถูกตีจริงก็ต้องเก็บกกหูสองข้างไว้ก่อนนะครับ

 


 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเลือดตกในหัวแบบไม่คาดคิดนี้ให้ดีก็คือ
1) เด็กเล็ก เนื่องจากกะโหลกยังปิดไม่สนิทดีหรือถูกเขย่าตัวบ่อยๆ ก็ทำให้มีเลือดตกในสมองได้ครับ
2) ผู้ที่รับประทานยาสลายลิ่มเลือดหรือยาป้องกันเลือดแข็งตัวแม้กระทั่งน้ำมันปลาก็ประมาทไม่ได้
3) ผู้สูงวัย  เพราะสมองเหี่ยวแฟบลงทำให้เกิดที่ว่างในกะโหลกให้สมองแกว่งตัวไปมาจนทำให้หลอดเลือดฉีกขาดตกเลือดในกะโหลกได้ง่าย


กระเทือนหัวที่ห้ามมัวนอนใจ

 

 ไม่ว่าหัวกระแทกด้วยลักษณาการใดมักจะสร้างความกังวลไม่มากก็น้อยต่อเจ้าของหัวว่า ต้องหาแพทย์เมื่อไร  หรือต้องไปเอ็กซเรย์เมื่อไร  ไม่อย่างนั้นจะสายไปไหม  ก็ขอบอกว่าอย่าเพิ่งตื่นตกใจไปครับเพราะกรณีอย่างดาราสาวนั้นที่จริงก็ไม่ได้เกิดบ่อยแต่อย่างใด 

 

 

 เพื่อไม่ประมาทก็ขอนำสัญญาณเตือนภัยให้รีบพบหมอขอเอ็กซเรย์หรืออย่างไรก็ว่าไป  ถ้ามีอาการต่อไปนี้ครับ
1) ถ้าตอนกระแทกมีสลบหรือไม่รู้สึกตัวแม้จะชั่วขณะหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงแล้วครับ
2) มีอาการชักร่วมด้วย
3) หลังหัวกระแทกมีอาการปวดหัวหนักขึ้น. ตามัว, อาเจียนพุ่ง  เป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งไปดันเนื้อสมองอยู่ในกะโหลกซึ่งก็น่าจะเป็นก้อนเลือด
4) มีอาการแขนขาอ่อนแรงคล้ายเป็นอัมพาต
5) หลังอุบัติเหตุมีพฤติกรรมผิดไปจากเดิมหลังอุบัติเหตุ


 อาการทั้ง 4 ข้อนี้ท่านไม่ต้องกลัวว่าจะต้องดูกันไปจนตลอดชีวิตครับ  ขอให้ท่องไว้ว่า 24 ชั่วโมงแรกถือเป็นนาทีทองของอาการสมองถูกกระแทก  ถ้าสังเกตอาการใน 1-2 วันแล้วไม่มีอาการทั้งสี่นี้ก็ค่อนข้างนอนใจได้ในระดับสูงทีเดียวครับ  ถ้าเป็นผู้สูงอายุอาจต้องลองดูไปยาวๆ สักนิดครับ  เพราะเลือดในสมองอาจออกแบบซึมลึกหวานเย็นไปเรื่อยๆ ได้นานนับสัปดาห์หรือเดือนทีเดียว 

 


 สุดท้ายอยากย้ำไว้อีกทีว่าไม่อยากให้ตระหนกตกใจจนเกินพอดี เพราะการไปเอ็กซเรย์บ่อยๆ ก็ใช่ว่าจะดีมาก ขอเพียงอย่าประมาทในเรื่องของหัวเท่านั้น  ห้ามมัวคิดว่าหัวแข็งแกร่งทนได้ทนดีมีกระแทกนิดหน่อยก็ช่างมัน  เช่น ถ้าต้องใส่หมวกกันน็อคก็ขอให้ใส่ให้ดีเลือกชนิดที่แข็งแกร่งที่จะมาแทนกะโหลกเราได้จริงๆ ไม่ใช่เลือกแค่เล็กเท่ากะลามาครอบหัวไว้ให้มาเก็บง่ายๆเท่านั้น 

 


 สำคัญที่สุด อย่าหาสิ่งใดมาลบเลือนสติของเราเป็นอันขาดโดยเฉพาะแอลกอฮอล์ ที่อยากขอให้เพลาลงในทุกฤดูกาลไม่ใช่แต่เฉพาะหน้าสงกรานต์นี้อย่างเดียว ถ้าจำเป็นต้องดื่มจริงก็ขออย่าไปดื่มช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชาติตอนขับรถราเลยครับ

สำนักข่าวเนชั่น 22/4/52

พิมพ์ อีเมล

ครม.อนุมัติงบเหมารายหัวปีหน้า 2,400 บาท ดึง รพ.กรุงเทพ ดูแลบัตรทอง 3 โรคเร่งด่วน

 

ครม.อนุมัติงบเหมาจ่ายรายหัวปี 53 จำนวน 2,400 บาทต่อประชากร “วิทยา” ระบุ ไม่ได้เท่าที่ขอไว้ แต่บริการจัดการได้ไม่กระทบบริการสุขภาพ ขณะที่มติบอร์ด สปสช.ดึง รพ.กรุงเทพ ร่วมดูแลผู้ถือบัตรทอง 3 โรคเร่งด่วน เน้นโรคค่าใช้จ่ายสูง ทั้งโรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมองอุดตัน ชี้ ผู้ป่วยได้รับการรักษารวดเร็วทันท่วงที ช่วยลดความพิการ
       
       นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติงบเหมาจ่ายรายหัวปี 2553 จำนวน 2,400 บาทต่อประชากร จากปี 2552 ซึ่งได้รับงบเหมาจ่ายรายหัว 2,202 บาทต่อประชากร เพิ่มขึ้นจากเดิม 198 บาท จากที่เสนอขอไว้ประมาณ 2,700 บาทต่อประชากร โดยอ้างอิงข้อมูลผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเท่ากับจำนวนผู้ป่วยในปี 2552 ทั้งนี้ ครม.มีความเห็นตามสำนักงบประมาณในการตัดงบประมาณในส่วนของกองทุนเอดส์ และงบส่วนอื่นๆ ออกเท่านั้น ไม่ได้ตัดเงินที่ใช้ในกองทุนหลัก ขณะเดียวกันกองทุนหลักยังได้งบประมาณเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
       
       “ได้หารือกับนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช.แล้วเห็นว่า งบประมาณที่ได้รับนั้นพอรับได้ เพราะจะไม่กระทบกับการรักษาพยาบาล สามารถบริการจัดการงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดได้ โดยอาจหาวิธีลดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็น ซึ่ง สปสช.ถือเป็นหน่วยงานเดียวที่ได้รับงบประมาณเพิ่มขณะที่หน่วยงานอื่นไม่ได้รับเพิ่มขึ้น” นายวิทยากล่าว
       
       นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และการให้บริการล้างไตผ่านช่องท้องให้ประชาชนเข้าถึงบริการคลอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ จากการที่สังคมไทยกำลังจะเข้าสู่โครงสร้างสังคมที่มีประชากรสูงอายุในสัดส่วนที่มากขึ้น การดูแลด้านสาธารณสุขจึงต้องเน้นเรื่องการส่งเสริมสุขภาพให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
       
       นายวิทยา กล่าวว่า นอกจากนี้ มติที่ประชุมมีมติเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ รวมถึงโรคค่าใช้จ่ายสูงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โดยมี รพ.สังกัดรัฐบาลทุกแห่ง และ รพ.เอกชน เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบ จะมีความร่วมมือระหว่างเครือข่ายของ รพ.กรุงเทพ ทั้ง 14 แห่ง ซึ่งเป็น รพ.เอกชน เข้าร่วมดูแลประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยจะให้การรักษา 3 โรค คือ ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ผู้ป่วยที่มีภาวะหลออดเลือดสมองในกรณีฉุกเฉิน และการผ่าตัดหัวใจชนิดเปิด ซึ่งเป็นโรคค่าใช้จ่ายสูง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ความร่วมมือนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเข้าถึงการบริการเพิ่มมากขึ้นและทันท่วงที ทำให้มีโอกาสรอดชีวิตและลดความพิการ รวมถึงได้รับบริการที่มีมาตรฐานภายใต้การชดเชยที่เหมาะสม โดยคาดว่าจะเพิ่มจากอัตราเหมาจ่ายรายหัว 10%
       
       ด้าน นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า จากความร่วมมือดังกล่าวนี้ เครือข่ายของรพ.กรุงเทพ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ 14 แห่งจะให้การดูแลผู้ป่วยใน 3 โรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างมากในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีภาวะของโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยมีรายละเอียดคือ ในการผ่าตัดหัวใจชนิดเปิดมีเครือข่าย รพ.กรุงเทพ 4 แห่ง เข้าร่วมให้บริการ คือ ศูนย์การแพทย์ รพ.กรุงเทพ รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์ รพ.กรุงเทพราชสีมา และ รพ.กรุงเทพภูเก็ต มีเป้าหมาย 100 ราย ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน มีเครือข่าย รพ.กรุงเทพ 4 แห่งเข้าร่วมให้บริการ คือ ศูนย์การแพทย์ รพ.กรุงเทพ รพ.กรุงเทพพัทยา รพ.กรุงเทพราชสีมา และ รพ.กรุงเทพภูเก็ต ไม่จำกัดจำนวนผู้ป่วยในระยะเวลา 1 ปี
       
       นายนิมิตร เทียนอุดม ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า การตัดงบประมาณด้านเอดส์ออกจะไม่กระทบกับผู้ป่วย เพราะประหยัดเงินจากการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) แต่จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่อนุกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านเอดส์พิจารณาว่าการตัดงบประมาณมีผลกระทบอย่างไรหรือไม่ นอกจากนี้ จะเสนอให้องค์การเภสัชกรรมลดค่ายาจี พี โอเวีย ซึ่งปัจจุบันเมื่อเทียบกับยาจากอินเดียวสูงกว่าเท่าตัว รวมทั้งพัฒนายาสามัญให้มีคุณภาพมากขึ้น และควบคุมการดื้อยาของผู้ป่วยเอชไอวี ซึ่งสามารถช่วยผู้ป่วยได้อย่างมาก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2552 19:02 น.

 

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน