ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 เผยพบกระบวนการฟอกน้ำมันประกอบอาหารมือ 2 ก๊อบปี้ยี่ห้อวางขายตลาดนัด ไซต์ก่อสร้างคนงาน แถมนำไปผสมอาหารสัตว์ส่งผลให้สารก่อโรคเข้าสู่วงจรอาหารมนุษย์ ชี้ ก่อ
“โรคมะเร็ง – ความดันสูง” เตรียมผลักดันกฎหมายให้พ่อค้ารับซื้อน้ำมันเก่าต้องขึ้นทะเบียน อึ้ง พบเครื่องจักรฟอกน้ำมันเก่าจัดโชว์สินค้าอล่างฉ่างที่อิมแพ็คเมืองทองธานี- ในงานประชุมวิชาการมหกรรมอาหารและสุขภาพ วิถีไท ครั้งที่ 1 ภายใต้แคมเปญ “กินเปลี่ยนโลก:บทบาทอาหารกับสุขภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อม” จัดโดย มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ มูลนิธิเกษตรยั่งยืน (ประเทศไทย) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายความมั่นคงทางอหารและสุขภาพวิถีไทย โดย ภภ. วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 อุดรธานี กล่าวในการเสวนาประสบการณ์ทำงานเรื่องอาหารปลอดภัยของแต่ละประเทศ ว่า ตนได้เฝ้าระวังเรื่องการใช้น้ำมันทอดซ้ำเพราะจะมีปัญหาว่าพบสารก่อมะเร็ง (พาร์) หากสูดดมจะส่งผลให้เกิดมะเร็งปอดสูง และหากรับประทานจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และสารที่ก่อให้เกิดภาวะความดันในเลือดสูง (โพลา) เกินค่ามาตรฐานสากลที่กำหนดอยู่ที่ 25% โดยในส่วนของประเทศไทยมีการใช้น้ำมันเพื่อการบริโภคจำนวน 1.2 ล้านตัน น้ำมันที่เหลือจะถูกนำไปผลิตไบโอดีเซล
สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้คือพบว่ากระบวนการลักลอบซื้อน้ำมันเก่าหรือเรียกว่าน้ำมันขยะเหล่านี้ไปฟอกให้แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่มีการลักลอบไปฟอกให้ใสเหมือนกับน้ำมันใหม่ แล้วบรรจุหีบห่อสวยงาม บางครั้งพบว่าลอกเลียนแบบตราสัญลักษณ์ของน้ำมันพืชที่ได้รับความนิยมในท้องตลาด แต่ซึ่งในความเป็นจริงสารก่อโรคทั้ง 2 ยังคงอยู่ในปริมาณเท่าเดิม ที่น่ากลัว คือเมื่อ 2 ปีก่อนตนพบว่ามีการออกบูธจัดแสดงเครื่องมือในการฟอกน้ำมันเก่าที่ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา เป็นการเสนอขายอย่างโจ่งแจ้ง จากเดิมที่พบการโฆษณาขายผ่านเว็บไซต์ของจีนเท่านั้น ที่สำคัญอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องจักรที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมเอาผิดได้
“เนื่องจากน้ำมันผ่านการฟอกจนใสเหมือนน้ำมันใหม่ทำให้สังเกตได้ยากดังนั้นขอให้ประชาชนเลือกซื้อน้ำมันจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ส่วนน้ำมันเก่า แถมยังตียี่ห้อปลอมนั้นส่วนใหญ่จะขายตามตลาดนัด แถวไซต์งานก่อสร้าง ส่วนราคาขายจะอยู่ที่ประมาณ 35-37 บาท ขณะนี้ที่ของจริงจะขายอยู่ที่ประมาณ 40 บาทขึ้นไป” ภภ. วรวิทย์ กล่าว
ด้าน นางอลิซ ฟาม องค์กรผู้บริโภคเวียดนาม (CUTS International) กล่าวว่า ที่ประเทศเวียดนามมีปัญหาเรื่องของคุณภาพอาหารมาก โดยเฉพาะร้านค้าข้างถนนที่มีอยู่กว่า 400,000 ร้าน ซึ่งผู้ประกอบกิจการร้านอาหารไม่ค่อยมีจรรยาบรรณเท่าไหร่ มีการลักลอบใส่สารต้องห้ามในอาหาร เช่น สารฟอกขาวในเส้นก๋วยเตี๋ยวที่พบมากกว่า 80% โดยสารดังกล่าวจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต อีกทั้งยังพบการปรุงอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอีกหลายอย่างทำให้ประชาชนเป็นโรคที่มาจากอาหารจำนวนมาก โดย 6 เดือนแรกของปี 2557 พบผู้ป่วยเป็นโรคท้องเสียกว่า 2,400 ราย บางรายรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่รัฐบาลพยายามปกปิดเรื่องเอาไว้ ล่าสุดขณะนี้รัฐบาลของประเทศเวียดนามได้ อนุญาตให้มีการปลูกพืชตัดต่อพันธุกรรมได้ (GMO) ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนยังไม่ทราบจึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบาย
“เรามีกฎหมายความปลอดภัยด้านอาหาร และมาตรฐานของชาติ แต่ไม่มีการควบคุมอย่างจริงจัง ถ้าพบผิดกฎหมายค่อยมาดู ดังนั้นจึงไม่มีอะไรมาป้องกันเราได้ อย่างไรก็ตาม สินค้าทางการเกษตรที่มีปัญหามาในประเทศเวียดนามขณะนี้คือสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีน ซึ่งพบว่าสารตกค้างมากกว่า 3-4 เท่าของมาตรฐานที่ยอมรับในเวียดนาม" นางอลิซ กล่าว