วันนี้ (7 ต.ค./ตึกมาลีนนท์) เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ นำโดย นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เข้าสื่อหนังสือต่อ นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย รองกรรมการผู้จัดการ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการ เพื่อขอเรียกร้องให้ผู้จัดละคร “เพื่อนรักเพื่อนริษยา” และสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องเอชไอวี/เอดส์
ตามที่ละครเรื่อง “เพื่อนรักเพื่อนริษยา” ของบริษัท บ้านละคอน จำกัด ที่ออกอากาศในวันที่ 6 ตุลาคม ที่มีฉากหนึ่งของเรื่องเป็นฉากที่หนึ่งในตัวแสดงหลักติดเชื้อเอชไอวี เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากเอดส์นั้น ทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เห็นว่า ฉากดังกล่าวเป็นการสร้างความเข้าใจผิดในเรื่องเอชไอวี/เอดส์ อย่างร้ายแรง ดังนี้
1. การสื่อสารว่าโรคเอดส์มีระยะสุดท้าย และระยะวิกฤติ รวมทั้งการให้ภาพผู้ป่วยที่มีแผลเหวอะหวะและมีเลือดออกทั้งร่างกาย จะทำให้สังคมเข้าใจผิด เกิดความกลัว รังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และ
2. การสื่อสารว่าเมื่อติดเชื้อเอชไอวีแล้วจะต้องเสียชีวิต
นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า การสื่อสารดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องเอชไอวี/เอดส์ที่ว่า โรคเอดส์ไม่ได้แบ่งเป็นระยะดังกล่าว แต่แบ่งเป็น “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” กับ “ผู้ป่วยเอดส์” ซึ่งแตกต่างกันที่ ผู้ติดเชื้อฯ คือ ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแล้วและยังไม่มีอาการป่วยใดๆ ในขณะที่ ผู้ป่วยเอดส์ คือ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส อันเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งโรคฉวยโอกาสทุกโรคสามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส เมื่อได้รับการรักษาและหายป่วยแล้วก็จะกลับมาเป็น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ตามเดิม ซึ่งไม่มีโรคฉวยโอกาสที่ทำให้มีลักษณะเหมือนที่ละครได้สื่อสารออกไป
“ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเมื่อรู้ตัวว่ามีเชื้อฯ ไม่จำเป็นจะต้องป่วยเอดส์ เพราะปัจจุบันมีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งครอบคลุมอยู่ในสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพ ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อฯ ทุกคน ได้รับยาไวรัสฯ ทันที และเริ่มยาเร็วเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ภูมิคุ้มกันไม่ถูกทำลาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง เรียนได้ ทำงานได้ ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป และดูไม่ออกจากรูปลักษณ์ภายนอก โดยเมื่อผู้ติดเชื้อฯ เข้าสู่การรักษาดังเช่นตัวละครในเรื่องเพื่อนรักเพื่อนริษยาแล้ว ผู้ติดเชื้อฯ คนดังกล่าวก็จะไม่ได้มีสภาพป่วยโทรม และต้องเสียชีวิตในที่สุด” ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าว
นายอภิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การสื่อสารที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และผลิตซ้ำความเข้าใจผิดในเรื่องเอชไอวี/เอดส์นั้นจะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่ในสังคมได้อย่างยากลำบาก เกิดการรังเกียจ ไม่รับเข้าเรียน ไม่รับเข้าทำงาน กีดกันไม่ให้อยู่ร่วมกันในสังคมเพราะเชื่อว่าติดเชื้อฯ แล้ว สุดท้ายจะเป็นดังภาพที่ละครได้เสนอออกมา ทั้งที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไป รวมทั้งยังส่งผลให้คนที่มีโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อฯ ซึ่งหมายถึงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ไม่กล้าเข้ามารับการตรวจรักษา เพราะเชื่อว่า รักษาไม่หาย เมื่อติดเชื้อเอชไอวีแล้วก็ต้องเสียชีวิตอย่างทรมาน
“ยิ่งไปกว่านั้น ก็จะส่งผลให้คนที่มีเพศสัมพันธ์ มองความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีของตนเองพลาด และไม่ได้ป้องกัน เพราะคิดว่าคนที่ตัวเองมีเพศสัมพันธ์ด้วย ไม่มีเชื้อเอชไอวีแน่นอน เพราะถ้ามีเชื้อฯ ต้องแสดงอาการป่วยให้เห็นเหมือนในละคร อย่างไรก็ดี ผลกระทบทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างปัญหาในการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านเอดส์ให้กับสังคมและประเทศในระยะยาว” นายอภิวัฒน์ กล่าว
ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวถึงข้อเรียกร้องว่า ขอเรียกร้องให้ผู้จัดละคร “เพื่อนรักเพื่อนริษยา” และผู้บริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์ฯ รับผิดชอบด้วยการแก้ไขข้อมูล และให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและรอบด้านแก่สังคม ผ่านช่องทางต่างๆ ที่ทางสถานีมีโดยด่วน ไม่ว่าจะผ่านรายการ ข่าว สกู๊ป หรือเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเอชไอวี/เอดส์ให้แก่สังคม โดยทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ยินดีส่งตัวแทน “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” ที่พร้อมเปิดเผยตนเอง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงแก่ผู้จัดละคร/ผู้บริหารสถานีฯ หรือเผยแพร่ให้ผู้ชม รับทราบจากกรณีดังกล่าว
ด้าน นายสมรักษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้บริหารได้ทราบเรื่องแล้ว อยู่ระหว่างการหารือว่าจะดำเนินการให้ความรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์ กับสาธารณะต่อไปอย่างไร
ข้อมูลจากองค์การอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค