จากการตรวจสอบผ่านระบบฐานข้อมูลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์พบว่าบริษัทฟูจิฟิล์ม โทยามะ เคมิคอล จำกัดยื่นคำอุทธรณ์กรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่มีคำสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์ เลขที่ 1101001988 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564
ภาคประชาสังคมที่ประกอบไปด้วยมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และกลุ่มนักวิชาการเพื่อการเข้าถึงยา ให้กำลังใจและสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมเดินหน้าผลิตและจัดส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ตามแผนในเดือน ส.ค. นี้ และขอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาพิจารณาคำอุทธรณ์โดยยึดหลักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์และสิทธิบัตร และยืนคำตัดสินเดิมให้ยกคำขอ
เมื่อ 17 ก.ค. 2563 มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ยื่นข้อมูลเพี่อประกอบการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรฉบับนี้ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา และขอให้กรมฯ ยก (ปฏิเสธ) คำขอฯ เพราะคำขอฯ ดังกล่าวไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นและไม่ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตร ต่อมาในเดือน ม.ค. 2564 ผู้แทนภาคประชาสังคมได้เข้าพบอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และแสดงความกังวลว่าประเทศจำเป็นที่ต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์จำนวนมากในสถานการณ์การระบาดโควิด 19 จนเมื่อเกิดการระบาดระลอกที่ 3 ในเดือน เม.ย. ซึ่งมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภาคประชาสังคมรณรงค์เรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเร่งพิจารณาและยกคำขอฯ และสนับสนุนให้องค์การเภสัชกรรมนำเข้าและผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในราคาที่ถูกกว่า เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง กรมทรัพย์สินทางปัญญามีคำตัดสินเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 ให้ยกคำขอรับสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์
หลังจากที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกคำขอฯ องค์การเภสัชกรรมได้นำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ที่เป็นยาชื่อสามัญมาจากอินเดียในราคาที่ถูกว่ายาต้นแบบของบริษัทฟูจิฯ ถึง 50% และเร่งวิจัยการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เอง เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2564 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติการขึ้นทะเบียนยาให้กับยาฟาวิพิราเวียร์ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม และองค์การเภสัชฯ พร้อมส่งยาฟาวิฯ ที่ผลิตเองให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ในเดือนสิงหาคมนี้
นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมเตรียมยื่นข้อมูลเพื่อให้กรมฯ พิจารณาและยกคำขอรับสิทธิบัตรยาเรมดิซิเวียร์ ซึ่งเป็นยาสำคัญอีกชนิดที่ใช้รักษาโควิด 19 และกำลังจะขาดแคลน บริษัทยาในประเทศสามารถผลิตยานี้ได้ ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องสิทธิบัตร
สถานการณ์โควิด 19 และยาฟาวิพิราเวียร์เป็นตัวอย่างของการผูกขาดตลาดยาด้วยระบบสิทธิบัตรที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษา โดยเฉพาะในยามวิกฤต กรมทรัพย์สินทางปัญญายกร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สิทธิบัตรและเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น แต่ข้อเสนอแนะและคำทักท้วงที่ภาคประชาสังคมและนักวิชาการด้านการเข้าถึงยาเกือบ 20 องค์กรที่มีต่อร่างกฎหมายที่แก้ไข กลับไม่ได้รับการพิจารณาและไม่ถูกรวมอยู่ในเนื้อหากฎหมายที่แก้ไขที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
ประเด็นที่ภาคประชาสังคมฯ เป็นกังวลที่สุด คือการแก้ไขมาตราที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยรัฐ (มาตรการซีแอล) ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขในการแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงยา เพราะการผูกขาดด้วยการจดสิทธิบัตรที่ทำให้ไม่มีการแข่งขันและยาราคาแพง ในร่าง พ.ร.บ. สิทธิบัตรฉบับแก้ไขที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเตรียมยื่นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ได้เสนอให้คำสั่งการใช้สิทธิโดยรัฐที่ออกโดยกระทรวง ทบวง และกรม ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่งก่อน นอกจากนี้ เมื่อประกาศการใช้มาตรการซีแอลไปแล้ว บริษัทยาที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรสามารถยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับหรือยกเลิกคำสั่งประกาศใช้ซีแอลได้อีกด้วย
ในอดีตมาตรการซีแอลช่วยให้ประเทศไทยนำเข้ายาชื่อสามัญสำหรับรักษาเอชไอวี โรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคมะเร็งในราคาที่ถูกกว่ายาที่ติดสิทธิบัตร 70-90% และทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศจ่ายยาดังกล่าวให้ผู้ป่วยนับแสนคนผ่านการบริการของโรงพยาบาลต่างๆ ได้ ถ้ามาตรการซีแอลถูกแก้ไขตามที่กรมฯ กำลังจะเสนอ ประเทศไทยอาจไม่มีโอกาสได้ใช้มาตรการซีแอลอีกเลยในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตด้านสุขภาพอย่างโควิด 19
ภาคประชาสังคมต้องการให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไขถ้อยความในมาตราที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยรัฐ (มาตรการซีแอล) ในร่าง พ.ร.บ. สิทธิบัตรฉบับแก้ไข โดยตัดการที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการอนุญาติให้ผู้ทรงสิทธิบัตรฟ้องศาลให้ระงับหรือยกเลิกคำสั่งการใช้สิทธิโดยรัฐออกทั้งหมด และควรเพิ่มหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกระทรวง ทบวง กรมให้สามารถประกาศใช้ซีแอลได้ด้วย รวมไปถึงการต้องไม่แก้ไขให้มีการขอจดสิทธิบัตรในเรื่องการบำบัดรักษาและการป้องกันโรคได้