บริการสุขภาพ

"ทวงบุญคุณ"ออกพรบ.13สมุนไพร2กรมอ้างคนไม่เข้าใจกม.ลึกซึ้ง/เอ็นจีโอจี้ถอนก่อนฟ้องศาลปค.

   กรมโรงงานอุตสาหกรรม-กรมวิชาการเกษตรเถียงคอเป็นเอ็น  ประกาศ  13  สมุนไพร  เป็นวัตถุอันตราย  เป็นเรื่องคนไม่เข้าใจตัว  พ.ร.บ.อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่   แถมทวงบุญคุณหวังดีเกษตรกรไม่ใช้สารเคมี  ไม่มีฮั้วเอกชน  ขณะที่  "เอ็นจีโอ"  จี้ให้ถอนประกาศไม่ใช่แค่ทบทวน  ยันมีผลประโยชน์คอรัปชั่น  และถ้า  2  หน่วยงานยังนิ่งเฉย  จะฟ้องศาลปกครองใน  7  วัน

     สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  (สช.)  ร่วมกับเครือข่ายพัฒนานโยบายอาหารและเกษตรเพื่อสุขภาพ  ได้จัดเสวนาหัวข้อ  "จากพืชสมุนไพรอันตราย  สู่ความท้าทายการมีส่วนร่วมของสังคม"  นายยงยุทธ   ทองสุข  รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม  กล่าวว่า  ในการออกประกาศกฎกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีวัตถุอันตราย   ที่กำหนดให้  13  สมุนไพรไทยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่  1  ซึ่งพิจารณาโดยคณะกรรมการวัตถุอันตราย  ได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ  และรับฟังความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนจากวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง แล้ว  และได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นมาพอสมควร  แต่เมื่อเห็นว่าเกิดผลกระทบขึ้นจึงต้องมีการทบทวน  โดยให้มีการจัดกระบวนการรับฟังความเห็นขึ้น   ทั้งนี้  เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น  แต่ควรพิจารณาตามความหนักเบาของประเด็น  เพราะหากต้องมีการมีส่วนร่วมในทุกกรณีจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานได้

     "ตอนนี้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว   ซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจในประกาศ  และเมื่อมีการเผยแพร่ออกไปสู่มวลชน  เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่มากขึ้น"

     ด้าน  ดร.เพ็ญโฉม  แซ่ตั้ง  นักวิชาการกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม  กล่าวว่า   การมีส่วนรวมของภาคประชาชนเป็นเรื่องจำเป็น  แม้ว่าจะทำให้การทำงานล่าช้าออกไป  ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจได้นั้น  เห็นว่าหากไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมเลย   นอกจากขาดความโปร่งใสแล้ว  ยังก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้  ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อประเทศและเศรษฐกิจมากกว่า  และแม้ว่าในคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเป็นกรรมการ   ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการความเห็น  แต่เราก็ไม่อาจรู้ว่าผู้ทรงคุณวุฒิที่ถูกเลือกเข้ามานั้นเป็นใคร   มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่  ดังนั้นจึงควรให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน  แต่ประเด็นคือว่า  ควรอยู่ในระดับใด  รวมถึงวิธีการแสดงความเห็น  แต่ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ข้อมูลด้วย   เพราะการมีส่วนร่วมที่ดีจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีข้อมูลประกอบ   ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนใหญ่ต่างเข้าถึงข้อมูลยากมาก  จึงควรมีการปรับปรุงมาตรา  9  (8)  เพื่อให้มีการเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการที่พิจารณาประเด็นต่างๆ  ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

     ขณะที่   นายวิฑูรย์   เลี่ยนจำรูญ  ผู้อำนวยการมูลนิธิวิถีไทย  (ไบโอไทย)  กล่าวว่า   การที่รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่าเรื่องนี้เป็นการทำเรื่องเล็กให้ เป็นเรื่องใหญ่นั้น  ตนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ  อย่างที่ระบุ   และอยากให้มองความเป็นจริง   เพราะเรื่องของสุมนไพรเป็นภูมิปัญญาเกี่ยวข้องกับคนไทยมานาน   ซึ่งการออกประกาศสมุนไพรอันตรายส่งผลกระทบไปทั่วประเทศ  นอกจากนี้มติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ได้ประชุมเมื่อวันที่  18  ก.พ.ที่ผ่านมา  ให้ดำเนินการทบทวนประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม  ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าได้เพิกถอนประกาศฉบับนี้แล้ว  ทั้งที่ความเป็นจริงประกาศฉบับนี้ยังอยู่  เพราะเป็นเพียงการสั่งทบทวนเท่านั้น

     นายวิฑูรย์กล่าวว่า  ทางเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนทั้ง  12  องค์กรเห็นว่า  ผลการประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตราย  เป็นเพียงการซื้อเวลาและมีเจตนาจะ หน่วงเหนี่ยวคำประกาศดังกล่าว  โดยมิได้นำพาต่อการคัดค้านของหลายฝ่าย  ขัดแย้งกับความเข้าใจของสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป  ทั้งนี้  ตนคิดว่าหลายเรื่องที่มีการพิจารณาในคณะกรรมการวัตถุอันตรายเกี่ยวข้องกับ ความไม่โปร่งใสและคอรัปชั่น  โดยคนแรกที่ออกมาระบุในเรื่องนี้คืออดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรที่ตั้งข้อ สังเกตว่า   ประกาศ  13  สมุนไพรไทย  มีประเด็นซ่อนเร้น  และเอื้อให้ข้าราชการไปกลั่นแกล้งหรือหาผลประโยชน์ได้  แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการทุจริตในเชิงนโยบายมากกว่า  เพราะหลายเรื่องที่กรมวิชาการเกษตรทำนำไปสู่ปัญหา  เช่น  เซ็นทรัลแล็บ  พืชสวนโลก  กล้ายาง  และการปลูกพืชจีเอ็มโอ  ซึ่งเรื่องพืชจีเอ็มโอนั้น  ศาลประเทศอินโดนีเซียได้ตัดสินลงโทษข้าราชการแล้ว  ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรและบริษัทสารเคมีมีการพบปะพูดคุยและมีความใกล้ชิด มากกว่าภาคประชาชน

     "อยากให้จับตาการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิตาม   พ.ร.บ.วัตถุอันตรายเป็นไปอย่างโปร่งใสหรือไม่  มีวัตถุประสงค์ใด  เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม  เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง  เพื่อให้มีคำสั่งระงับการออกประกาศฉบับนี้ชั่วคราว  จะยื่นฟ้องให้แล้วเสร็จภายใน  7  วัน  เพื่อใช้อำนาจศาลทวงความยุติธรรมของการออกประกาศฉบับนี้"  นายวิฑูรย์กล่าว

     นายวิชา   ธิติประเสริฐ  ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร  กรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  ในการออกประกาศ  13  สมุนไพรไทยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่  1  นั้น  ได้มีการรับฟังเสียงจากประชาชนแล้ว   แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กน้อย  แต่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง  ซึ่งในปี  2550  ได้มีการเปิดรับฟังความเห็น  โดยมีผู้เข้าร่วม  150  คน  และยังมีส่วนร่วมจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ก่อนนำข้อมูลมาวิเคราะห์และออกประกาศ  ที่เป็นการควบคุมเฉพาะการนำมาผลิตเป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช  ทั้งนี้  พ.ร.บ.วัตถุอันตรายนี้ควรถูกเรียกว่ากฎหมายจับฉ่าย  เพราะครอบคลุมทั้งหมดตั้งแต่สารเคมีที่มีความร้ายแรงเป็นอันตรายอย่างสาร กัมมันตภาพรังสี  จนถึงพืชสมุนไพรธรรมดา  และเมื่อพืชสมุนไพรถูกจัดให้อยู่ใน  พ.ร.บ.วัตถุอันตราย  จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด  ทั้งๆ  ที่เป็นการทำเพื่อเปิดช่องเพื่อช่วยเกษตรกร  และลดการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  ดังนั้นจึงควรมีการทบทวนชื่อกฎหมาย  โดยเปลี่ยนเป็น  พ.ร.บ.วัตถุที่ใช้แทน  ทั้งนี้  การทำงานของคณะกรรมการวัตถุอันตรายน่าจะได้รับการสรรเสริญด้วยซ้ำ  ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากปัญหาความไม่เข้าใจ  และชื่อกฎหมายที่ไม่ทันสมัย  อย่างไรก็ตาม  สำหรับประกาศกฎกระทรวง  13  พืชสมุนไพรนั้น  จะประสานให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติช่วยทำประชาพิจารณ์ในเรื่องนี้ เพื่อความโปร่งใส

     "ผมขอชี้แจงกรณีที่นายวิฑูรย์พยายามสื่อว่ามีการคอรัปชั่น   โดยโยงกรณีการปลูกพืชจีเอ็มโอ  ซึ่งผมไม่คิดว่าจะมีใครกล้าขึ้นมาชี้หน้าใครว่าผิดได้  เพราะเรื่องทั้งหมดยังอยู่ในชั้นศาล  และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีข้าราชการในกรมวิชาการเกษตรที่ถูกตัดสินว่าทุจริต คอรัปชั่น   ส่วนที่มีการโยงความสัมพันธ์ระหว่างกรมวิชาการเกษตรและบริษัทเอกชนนั้น  ยืนยันว่ากรมเปิดประตูรับฟังทุกฝ่าย  จึงไม่อยากให้มีการพูดที่เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น   ซึ่งหากจะวิพากษ์วิจารณ์ควรพูดอย่างตรงไปตรงมาและพูดให้จบ"  นายวิชากล่าว.

นสพ.ไทยโพสต์ 20-02-52

พิมพ์ อีเมล

ลุยล้างบางคลินิกหน้าเด้ง

ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต

       อย.จับมือกองการประกอบโรคศิลปะ ลุยกวาดล้างจับคลินิกดังทำหน้าขาวเด้ง ฉีดสารกลูตาไธโอน-วิตามิน ผิดกฎหมายโดยไม่มีทะเบียนตำรับยา เตือนสาวๆ อย่าหลงเชื่อ หากเกิดอาการแพ้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และอย่าหลงคารมกับคำอ้างว่าผ่าน อย.แล้วเป็นอันขาด
       
       นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าหน้าที่กองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่กองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ออกตรวจสอบคลินิกเสริมความงามชื่อดัง หลังจากได้สืบทราบข้อมูลว่ามีการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนและยาฉีดอื่นๆ โดยไม่มีทะเบียนตำรับยาในคลินิกเสริมความงาม
        
       ปรากฏว่า จากการตรวจสอบพงศ์ศักดิ์คลินิกเวชกรรม สาขาเอสพลานาด ตั้งอยู่เลขที่ 99 ศูนย์การค้าเอสพลานาด ชั้น M ถ.รัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ พบว่ามีการใช้ยาฉีด Tationil (Glutatione) และ Laroscorbine (Vitamin C i.m./e.v.) ที่ไม่มีทะเบียนตำรับยา อ้างสรรพคุณในการรักษาทำให้ผิวขาว
        
       ดังนั้น เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างยาทั้งหมดที่พบส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ในเบื้องต้นพบการกระทำผิดกฎหมาย ข้อหาขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองควงคุมยาจะดำเนินการติดตามขยายผล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป
       
       เลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า การนำสารกลูตาไธโอนมาฉีดเพื่อให้ผิวขาวไม่ว่าจะฉีดโดยคลินิกหรือสถานเสริมความงาม ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถือเป็นความผิดทางกฎหมาย เนื่องจาก อย. ไม่เคยขึ้นทะเบียนสารดังกล่าวและไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้า ซึ่งหากพบมีการโฆษณาเกินจริง ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา มีโทษปรับถึง 1 แสนบาท
        
       ขอเตือนมายังคุณผู้หญิงสาวๆ ทุกคน อย่าหลงเชื่อเข้ารับบริการฉีดสารที่อวดอ้างทำให้ผิวขาวเป็นอันขาด เพราะหากเกิดอาการแพ้ รักษาไม่ทัน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ และหากพบเห็นคลินิกหรือสถานเสริมความงามใดปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อวดอ้างการใช้สารทำให้หน้าขาว โปรดแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่พบการกระทำผิดนั้นๆ

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กุมภาพันธ์ 2552

 

พิมพ์ อีเมล

เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังวอนนายกฯ ขอให้ยกเลิกมติ ๘ โรคต้องห้ามเข้ารับราชการ

Consumerthai – 12 ก.พ. 52 เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรังเข้ายื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้ยกเลิกผลการประชุม ก.พ. ที่มีมติกำหนดให้บุคคลที่เป็น 8 โรคต้องห้ามเข้ารับราชการ นายกฯรับปากรับเรื่องพิจารณา พร้อมยกโรคไตและวัณโรคออกจาก 8 โรคต้องห้าม

อ่านต่อ

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน