2 ปี กฏหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ต้องแก้ไข

นักกฎหมาย ระบุ กฏหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 2 ปี ผู้ประกอบยังรุมฟ้องผู้บริโภค ระบบการจำแนกคดีทำให้การพิจารณาล่าช้า ภาระการพิสูจน์ยังตกอยู่ที่ผู้บริโภค และเจ้าพนักงานคดีไม่เพียงพอ



Consumerthai – 19 ส.ค. 53 ในงานสัมมนา ศาลอุธรณ์ ภาค 1 กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชนในวาระ ครบรอบ 20 ปีศาลอุธรณ์ ภาค 1 ได้จัดเวทีเสวนา “1 ปี กับคดีผู้บริโภค : ใครได้ใครเสีย” โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติ นายประมวญ รักศิลธรรม ประธานแผนกคดีผู้บริโภค นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายสุวิทย์ หมื่นเดช ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการทุจริตบัตรเครดิตบริษัทบัตรกรุงไทยจำกัดเข้าร่วมเสวนา

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกสภานิติบัญญัติ กล่าวถึง ปัญหาการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคว่า ถึงแม้ว่าหลักการและแนวคิดของกฎหมายนี้จะเน้นขยายความคุ้มครองผู้บริโภคให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัด และเป็นธรรม แต่การบังคับใช้ กฎหมายที่ผ่านมานั้น การวินิจฉัยประเภทคดีว่าเป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่นั้น ก่อให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการพิจารณาคดี

“ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะยื่นฟ้องคดีที่ศาลชั้นต้นไปแล้ว แต่ผู้ประกอบการก็จะอ้างว่าคดีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นคดีผู้บริโภค เรื่องดังกล่าวก็ต้องถูกส่งไปให้ศาลอุธรณ์วินิจฉัยก่อนว่าเข้าข่ายคดีผู้บริโภคหรือไม่ การพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้นก็ต้องหยุดลงเพื่อรอคำวินิจฉัยออกมาก่อน  เพราะกาะแยกประเภทคดีจะมีผลต่อการพิจารณาตัดสินคดีและค่าฤชาธรรมเนียม หากไม่ใช่คดีผู้บริโภคก็จะต้องมีการเสียค่าธรรมการยื่นฟ้องแพ่ง  ซึ่งความล่านี้ส่งผลต่ออายุความตามกฎหมาย 

อีกปัญหาก็คือการตีความ ประเภทคดีที่เกี่ยวพันกันว่าเกี่ยวพันกันหรือไม่ ซึ่งอาจมีความคาบเกี่ยวกันเช่น คดีแพ่งที่ฟ้องผู้ประกอบการเป็นคดีผู้บริโภคนั้น จะคาบเกี่ยวถึง พ.ร.บ.ความรับผิดอีกหรือไม่ ซึ่งต้องส่งให้ ศาลอุธรณ์พิจารณาอีกเช่นกัน” สมาชิกสภานิติบัญญัติ กล่าว

นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลตามมาตรา 17 ที่ว่าให้ผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลที่มีภูมิลำเนาหรือมูลคดีเกิด ผู้ประกอบการธุรกิจเป็นโจทก์ให้ฟ้องต่อศาลที่มีภูมิลำเนา เรื่องนี้ดูเหมือนจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคแต่กลับกลายเป็นว่าสร้างภาระ เพราะคนทั่วไปไม่ได้ทำงานอยูในภูมิลำเนาของตัวเอง บางคนทำงานอยู่กรุงเทพแต่ถูกฟ้องศาล และศาลได้ส่งเอกสารไปภูมิลำเนาที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ก็ต้องกลับไปขึ้นศาลที่ต่างจังหวัด ตรงจุดนี้นายสุรชัยมองว่าควรจะต้องแก้ปัญหา ให้ตีความคำว่าภูมิลำเนาในความหมายอื่นด้วย

“อีกปัญหาที่พบก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดี ตามมาตรา 20 เจ้าพนักงานคดียังน้อยและไม่มีความพร้อม ซึ่งตามกฎหมายนั้นให้บทบาทเจ้าพนักงานคดีเด่นมากแต่ปัจจุบันยังไม่มี  และกฎหมายมาตรา 44 ว่าด้วยเรื่องความรับผิดชอบของนิติบุคคล หุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น ผู้มีอำนาจกระทำการแทนนั้น ถือเป็นข้อกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการใช้สิทธิ อย่างกรณีของซานติก้า ศาลชั้นต้นรับฟ้องและมีคำสั่งให้ สืบไปถึงผู้ถือหุ้นของซานติก้า  ผู้บริโภคจึงต้องส่งค่านำหมายให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการนำหมายส่งไปแล้วกว่า 10,000 บาท ซึ่งผู้บริโภคต้องออกเอง แต่ภายหลังมีการยกเลิกคำสั่ง ภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้จึตกอยู่กับผู้บริโภค และไม่สามารถเรียกคืนได้ ตรงนี้ควรจะจัดการอย่างไร” นายสุรชัยกล่าว

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมถึงระบบการสืบพยานเป็นระบบไต่สวนศาลมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามมาตรา 33 และ 34 แต่ศาลก็ยังไม่มีกระบวนการใช้ส่วนนี้ได้อย่างเต็มที่

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงปัญหาการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ว่าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคไปทั้งหมด 169 คดี แบ่งเป็นรถโดยสารสาธารณะ 94 คดี ประกันภัย 51 คดี สุขภาพ 6 คดี อสังหาริมทรัพย์ 5 คดี มาตรฐานสินค้า 3 คดี โทรคมนาคม 3 คดี คุณภาพบริการ 2 คดี และสัญญาเช่าซื้ออีก 2 คดี

“ปัญหาที่เราพบก็คือความไม่เพียงพอของเจ้าพนักงานคดี ถือเป็นปัญหาทำให้ไม่สามารถใช้กฎหมายฉบับนี้ได้จริงตามวัตถุประส่งค์และเจตนารามณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะการวิจนฉัยปัญหาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโดยศาลเป็นผู้สืบพยาน ซึ่งเป็นภาระของศาล ศาลจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 4 นี้มอบหมายให้เจ้าพนักงานคดีทำแทนในเรื่องต่างๆ ตามข้อกำหนดประธานศาลฎีกา เพื่อสืบเสาะหรือพิสูจน์ให้ได้มาซึ่งพฤติกรรมและพฤติการณ์ของคู่กรณีว่ามีความผิดจริงตามฟ้องหรือไม่ แต่ปัจจุบันการสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ ยังตกเป็นของผู้บริโภคเช่นเดิม

นอกจากนี้ผู้บริโภค  ต้องรับภาระส่งหมายเรียกพยานบุคคคล พยานหลักฐาน รวมทั้งต้องเสียค่าธรรมเนียมการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หมายนัดไปยังคู่กรณีเองอย่างกรณีซานติก้าที่ต้องส่งถึงผู้ถือหุ้น 30 คน ต้องเสียเงินกว่า 10,000 บาท” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าว

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมถึงความแตกต่างการใช้ดุลพินิจที่แตกต่างกันของศาลแต่ละคดี ในการพิจารณาคำร้องผู้บริโภคที่ใช้สิทธิตามมาตรา 44 ที่จะรับพิจารณาคำร้องหรือไม่รับ กรณีตัวอย่างคดีผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทสัมพันธ์ประกันภัย และซานติก้าผับ ที่บางศาลจะไม่รับคำร้องหรือรับเป็นบางราย เพื่อไต่สวนเพราะคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งผู้ถือหุ้นและเป็นการเสียเวลา เป็นต้น ทั้งที่ผู้บริโภคได้ใช้สิทธิชี้แจงและยืนยันการใช้สิทธิตามมาตรานี้แล้ว และเป็นการใช้สิทธิผู้บริโภคตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

“ต่อเรื่องการไม่ต้องใช้ทนายความนั้น เห็นว่าไม่เป็นจริงเพราะบางคดีมีความซับซ้อน ผู้บริโภคจำเป็นต้องมีทนายเพื่อดำเนินคดีอย่างคดีทางการแพทย์ หรือคดีที่ผู้บริโภคถูกฟ้องแย้งและต้องทำคำให้การกลับไป และผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงกฎหมายฉบับที่ได้จริง เช่นการเขียนคำฟ้อง คำร้อง คำเบิกความ หรืออื่นๆได้เองทุกเรื่อง จำเป็นต้องมีทนาย” นางสาวสารี กล่าว

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมถึงความความหวังของผู้บริโภคต่อการพิจารณาคดีในกฎหมายนี้ว่า สิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังก็คือความรวดเร็ว และการมีบรรทัดฐานในการตัดสินคดีที่เป็นแบบเดียวกันของศาล เพราะพบว่าถึงแม้จะเป็นคดีเดียวกันแต่การตัดสินต่างกัน  และอยากให้กฎหมายฉบับนี้เป็นส่วนที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ได้อย่างแท้จริง

และในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 นี้มูลนิธิเพื่อเผู้บริโภคร่วมกับแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพจัดงานประชุมสภาปฏิรูประบบกระบวนการยุติธรรม : กรณี 2 ปี พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551  ณ ห้องประชุมนนทรี โรงแรม ทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ 15 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร  เวลา 08.30-16.30 น.

ประชาชนและผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ www.consumerthai.org

Tags: ซานติก้า

พิมพ์ อีเมล