banner debttrain

ทีเด็ดลูกหนี้ : หยุดจ่ายหนี้อย่างไร ไม่ให้เสียเครดิต

ถูกโกงดอกเบี้ย หยุดจ่ายแต่ไม่เสียเครดิต
กลยุทธ์เด็ดจากลูกหนี้ผู้ยิ่งใหญ่ “ชัชวาล เอี้ยวโสภณ”

หลายคนไม่กล้าหยุดจ่ายหนี้ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงผิดปกติ เพราะกลัวว่าข้อมูลจะไปแสดงที่เครดิตบูโรกลายเป็นเครดิตไม่ดี จนไม่สามารถไปทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ แต่สำหรับชัชวาล เอี้ยวโสภณ เขามีทีเด็ดในการจัดการกับปัญหานี้

เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ชัชวาล ตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทขายส่งสินค้าแห่งหนึ่งเพราะขัดแย้งกับผู้บริหาร วันนั้นเขาไม่มีเงินติดตัวสักบาทมีแต่ความรู้ความเชี่ยวชาญที่ได้จากประสบการณ์ในการทำงาน เขาตัดสินใจตายเอาดาบหน้าด้วยการใช้บัตรเครดิตสินเชื่อที่มีอยู่กู้เงินจากแหล่งทุนต่าง ๆ ทั้งสถาบันการเงินและบริษัทสินเชื่อมาตั้งบริษัทจำหน่ายและรับซ่อมอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านและสำนักงานเพื่อเป็นอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว

 

เดือนที่ยังไม่ฟ้องศาลนั้นบอกอะไรกับเราได้บ้างในกรณีนี้
ความจริงเขาก็ต้องการประณีประนอมลูกค้า ซึ่งให้ศาลประณีประนอมได้ แต่ถ้าเขาฟ้องศาลนั้น ทางเขาจะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ทั้งหมด ซึ่งคำนวณแล้วจะได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป ซึ่งแค่ค่าทวงหนี้จ้างสำนักงานกฎหมายทวงหนี้ก็ไม่คุ้มแล้ว อย่างบางคนเป็นหนี้ 1 –2 หมื่นแล้วไปจ้างทวงหนี้แค่นี้ก็ไม่คุ้มแล้วเพราะทั้งค่าหมาย ค่าทนาย

อย่างสยามเอแอนซีมีสำนักงานกฎหมายหลายสำนักงานมาทวงหนี้ผมนั้นแต่ละสำนักงานก็เกือบหลักหมื่น ถึงแม้ว่าลูกค้าเขาจะเยอะแต่ก็เป็นลูกค้ารายย่อยแค่ 1 – 3 หมื่นบาท สมมุติเป็นหนี้เขา 10,000 บาท จ้างทนายมาฟ้องครั้งหนึ่งคิดแล้ว 5,000 บาทแล้วถึงศาลก็เป็นหมื่น แล้วต้องเสียค่าเอกสารต่าง ๆ ของศาล ค่าฎีกา ค่าอากรแสตมป์ ค่าตั้งทนาย ซึ่งเขาจะไม่คุ้มอะไรเลย เขาคิดว่าได้เงินคืนก็ดี แต่เขาคิดสั้นตรงที่เขาไม่เอาลูกค้า เพราะลูกค้าไม่ได้ตั้งใจจะไม่จ่ายอะไร เขาตั้งใจที่จะจ่ายแต่ต้องจ่ายในแง่ความเป็นจริง ซึ่งความจริงแล้วอีซี่บายน่าจะมีการปรับปรุงหันมาเอาลูกค้า แล้วก็เลิกคิดว่าลูกค้ารายเล็ก ๆ แต่ลูกค้าเล็ก ๆ น่ะ คุณเห็นช้างไหมเวลามันเดินไปโดนไม่จิ้มฟันทิ่มเอามันยังล้มได้ ยังอักเสบได้

กรณีคุณชัชวาล เป็นเพียงตัวอย่างการใช้ชีวิตบนกองหนี้อย่างมีสติ
ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหา Consumerthai.org เป็นกำลังใจให้ลูกหนี้ทุกคน

ธุรกิจของชัชวาลดำเนินไปด้วยเงินหล่อเลี้ยงจากแหล่งทุนต่าง ๆ ซึ่งเขากู้และชำระคืนโดยไม่มีปัญหาใด ๆ จนเมื่อเขาได้ใช้บริการสินเชื่อเงินสดจากบริษัท สยาม เอ แอนด์ ซี จำกัด หรืออีซี่บาย เขาก็พบความผิดปกติ จ่ายเงืนคืนไปเท่าไหร่เป็นแต่ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม เงินต้นแทบไม่หด

แม้จะมีความรู้เพียงแค่ ชั้น ป.6 แต่เขาก็ตรวจสอบจนพบว่าบริษัทสินเชื่อแห่งนี้เรียกเก็บดอกเบี้ยสูงผิดปกติ หลายคนอาจยอมทนก้มหน้าชำระหนี้ต่อไปเพราะกลัวข้อมูลการขาดชำระหนี้ไปแสดงที่เครดิตบูโร จนไม่สามารถทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ แต่สำหรับชัชวาลเขายืนยันที่จะหยุดชำระหนี้ และไม่หวั่นเกรงในปัญหากับเครดิตบูโร เพราะเขาไม่ใช่คนโกง

เข้ามาเกี่ยวข้องกับสินเชื่อของอีซี่บายได้อย่างไร
ผมใช้บัตรสินเชื่อเพื่อเอามาหมุนในกิจการทั้งจ้างพนักงาน ซื้อของ รวมทั้งเสียภาษีด้วย ตอนออกมาจากบริษัทไม่มีเงินติดตัวเลย ก็ไปกดบัตรเครดิตเอาเงินไปเปิดบริษัท ซื้อสินค้าหมุนเวียนในบริษัทแล้วก็จ้างพนักงาน อีกอย่างก็คือช่วงนั้นเปิดบูธโชว์สินค้าซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่นทั้งที่ไบเทค ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และต้องการเงินหมุนเวียนอย่างมาก ยื่นกู้อีซี่บายตอนนั้น เพราะว่าให้วงเงินในการกู้ผมถึง 1 แสนบาท แล้วเขาบอกว่าผมเป็นสมาชิกสยามเอแอนด์ซีตั้งแต่เปิดใหม่ ๆ ซึ่งตอนนั้นก็ดี ดอกเบี้ยไม่แพงมาก แล้วก็เป็นสินเชื่อเงินผ่อนทั่วไป แล้วก็มาใช้สินเชื่อเงินสด แล้วทีนี้เขาก็บอกผมว่าผมเป็นสมาชิกตั้งแต่บัตรสีเท่า บัตรสีแดง บัตรสีแดงก็คือเป็นสมาชิก VIP มีวงเงินเยอะรวมถึงมีสิทธิพิเศษมากกว่าบัตรสีเทา

สิทธิพิเศษต่างๆนั้นทางอีซี่บายเป็นผู้พิจารณาให้เอง
ถูกต้องครับ คือเพิ่มวงเงินขึ้นมาจาก 4 หมื่น เป็น 7 หมื่น เป็น 1 แสน หลังจากนั้นพอไปยื่นกู้ที่สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ พนักงานก็บอกว่าเป็นสมาชิกบัตรสีแดงเดี๋ยวเซนต์ชื่อแล้วก็รอรับเงินได้เลย เขาก็อนุมัติวงเงินมาแค่ 4 หมื่นบาท

ตอนนั้นไม่รู้เลย เพราะผมจบแค่ ป.6 ศัพท์ต่าง ๆ อย่าง วงเงิน OD , OPRN , NPL อะไรไม่รู้เลย รู้อยู่เพียงอย่างเดียวคือผมเป็นสมาชิกอีซี่บายมานานและเขาคงไม่หลอกเรา

ไม่คิดที่จะไปกู้เงินที่เป็นสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารบ้างหรือ
ตอนนั้นผมก็ไปกู้อยู่แล้วก็เริ่มมีอีออน ธนสินทรัพย์ ยูโอบีรัตนสิน สแตนดาดชาเตอร์ ซึ่งผมก็กู้จนมาหมุนเงินในบริษัทหมดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวคือสยามเอแอนซี

ก็คือต้องการเงินเข้ามาหมุนเวียน
ครับ ตอนนั้นลูกค้าสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่นเข้ามาเป็นแสน ผมก็ต้องมีเงินไปสั่งของ

แล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น
ปัญหาก็คือ ผมยื่นกู้เกือบทุกสถาบันการเงิน เครดิตบูรโรผมจะเต็มไปหมด เงินนอกกฎหมายผมไม่เคยกู้ เครดิตบูโรผมจะดีตลอดมีเงินเข้าหมุนเวียนตลอด และการคำนวณดอกเบี้ยจะแตกต่างกับสยามเอแอนด์ซี(อีซี่บาย)มาก พวกสถาบันการเงินต่าง ๆ เวลากู้เงินมา 5 หมื่น ผ่อนชำระ 40 เดือน เงินต้นก็จะลดลงเรื่อย ๆ อย่างผ่อนเดือนละ 2 พัน ก็จะได้เงินต้นประมาณ 1,500 บาท ค่าธรรมเนียมก็ 100 – 300 บาท เวลาเราผิดนัดกับเขาจริงเพราะเราไม่ได้รับเอกสาร เป็นต้น

ซึ่งของสยามเอแอนด์ซีนั้นมาสะดุดใจครั้งแรกเมื่อกลางปี 2547 คือเงินต้นมีเพียง 90 บาท ที่เหลือเป็นค่าธรรมเนียม จากที่จ่ายไป 1,700 บาทต่อเดือน แล้วผมก็เริ่มมาดูเปรียบเทียบกับสถาบันการเงินอื่น ๆ พบว่าอันอื่นนั้นใกล้จะหมดแล้ว แต่ของสยามเอแอนด์ซีกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังเฉย ๆ ไว้เพราะคิดว่าอาจมีอะไรผิดพลาดทางคอมพิวเตอร์หรือเปล่า

หลังจากนั้นเดือนต่อมาก็จ่ายตรงวันที่นัดจ่ายไว้ ได้เงินต้น 150 บาท ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียม(จากเงิน 1,700 บาทเหมือนเดิม) ก็เลยโทรไปถามที่อีซี่บายว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ให้ทางอีซี่บายอธิบายว่าทำไมเงินต้นได้เพียง 90 บาทและ 150 บาท หลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อกลับมาว่าทางอีซี่บายคำนวณถูกต้องแล้ว เพราะจ่าย 1,700 บาทต่อเดือนนั้นจ่ายน้อย มันเลยไปทบดอกเบี้ยให้เพิ่มขึ้น ผมก็เลยบอกว่าสถาบันการเงินอื่นไม่เห็นเป็นแบบนี้ ก็บอกไปว่าเดือนต่อไปไม่จ่ายนะ พอเดือนต่อมา เงินต้นก็เป็น 0 บาทเลยหลังจากจ่ายไป 1,700 บาทแล้ว ปรากฏว่าเป็นดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมหมดเลย

ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปที่ไหนบ้างครับ
ก็ติดต่อไปทางอีซี่บายอีกให้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นนำเอกสารการจ่ายเงินไปร้องเรียนที่ สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) หลังจากนั้นทาง สคบ. ก็นัดทนายของอีซี่บายมาเจรจา บอกว่าถ้าหากอยากให้เงินต้นลดต้องจ่ายมาก ผมก็แย้งว่าที่ผ่านมาก็จ่ายเท่าเดิมแต่ว่าทำไมเงินต้นมันไม่ลดลงล่ะ และบอกว่าแบบนี้ไม่จ่าย

ทาง สคบ.ก็บอกว่าอย่าไปยื้อกับเขาเลยบริษัทเขาใหญ่นะ มีคนมาร้องเรียนเยอะแยะแต่ว่าทำอะไรบริษัทอีซี่บายไม่ได้ แล้วเขาก็ดูเอกสารของผมแล้วก็บอกว่าทางอีซี่บายคำนวณผิด ทนายความของอีซี่บายก็บอกว่าคำนวณผิด แล้วบอกให้ทางผมไปเคลียร์กับทางอีซี่บายเอง แล้วเขาก็กลับ ทาง สคบ.ก็บอกว่าจะไกล่เกลี่ยให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป

เหตุการณ์นี้เริ่มเมื่อไรครับ
ตั้งแต่กลางปี 2547 แล้วผมก็ทำหนังสือไปถึงผู้บริหารของอีซี่บายว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่จ่ายหนี้ในเดือนต่อไปและจะไปแจ้งความ แต่ปรากฏว่ามีคนเซนต์รับแทนแต่ตัวผู้บริหารกลับไม่เซนต์รับ

หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป 2 เดือน แล้วก็มีคนโทรมาด่าผม เขาบอกว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดการหนี้สิน ถามว่าผมเป็นใคร ทำแบบนี้ได้ไง ขนาดนายกฯยังกู้อีซี่บายเลย เขาบอกว่าเขาไม่ได้เป็นนอกระบบนะ ก็เหมือนสถานบันการเงินอื่น ๆ แต่ผมให้เขาอธิบายว่าเหมือนอย่างไรคำนวณ(ดอกเบี้ย)อย่างไรก็ไม่เหมือน และบอกว่าจะไม่จ่าย

แล้วเรื่องก็เงียบหายไปมีเพียงหนังสือทวงหนี้ส่งมาหาผมว่า ถ้าหากผมไม่จ่ายก็จะมายึดทรัพย์ ผมก็กลัวเพราะธุรกรรมการเงินผมเยอะก็กลัวเครดิตบูโรจะเสีย เลยโทรไปหาเครดิตบูโรสอบถามว่าอีซี่บายลงข้อมูลเครดิตบูโรหรือยัง ปรากฏว่าเขาจะลงในเดือนตุลาคม 2548 ผมก็เลยทำหนังสือถึงผู้อำนวยการเครดิตบูโรตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ตลิ่งชัน

หลังจากนั้นก็ไปปรึกษาที่เครดิตบูโรพร้อมนำเอกสารต่าง ๆ ไปให้เขาดู หลังจากนั้นทางเครดิตบูโรก็ลงข้อมูลให้ เพื่อที่เวลาผมไปทำธุรกรรมการเงินกับสถาบันการเงินอื่น สถาบันการเงินนั้นก็จะเชคมาที่เครดิตบูโร ถ้าผมไม่ไปทำไว้ก็จะพบว่าผมติดแบล๊คลิสต์ในบัญชีดำ

ทางเครดิตบูโรจัดการให้อย่างไร
ที่ทางเครดิตบูโรทำให้นั้นจะเป็นลักษณะข้อโต้แย้งว่าเราไม่ได้หนีการชำระหนี้แต่เกิดจากการผิดพลาดจากทางอีซี่บาย ซึ่งทางเราได้ขอเคลียร์กับทางอีซี่บายแต่ทางอีซี่บายไม่เคลียร์กับเราแล้วก็ได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว เพื่อยืนยันว่าเรานั้นถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมายกำหนด หลังจากนั้นเราก็ทำธุรกรรมการเงินได้เป็นปกติ หนี้ก็ยังคงค้างอยู่อย่างนั้น

หลังจากนั้นผมก็ไปสืบค้นที่อยู่ของผู้บริหารของอีซี่บายที่ทะเบียนราษฎร เพื่อที่จะส่งหนังสือให้ถึงมือผู้บริหาร เพราะอยากให้รับรู้ว่าทางอีซี่บายกำลังจะเสียลูกค้า ในหนังสือก็ชี้แจงว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่ใช้บริการครั้งแรกเลย เพราะในโฆษณาบอกว่ายื่นเรื่องปุ๊บอนุมัติปั๊บ แต่จริง ๆ ไปยื่นตั้งแต่ห้างเปิดแต่ได้รับเงินบ่าย 4 โมงเย็นทั้งที่เป็นลูกค้าชั้นดีของทางอีซี่บาย

หลังจากส่งจดหมายไปบ้านผู้บริหารแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ได้รับการติดต่อกลับมาทางโทรศัพท์ว่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และห้ามมายุ่งที่บ้านอีก ผมก็ไปเปิดเว็บไซต์ดูทางอีซี่บายใหม่ปรากฎว่ามีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารแล้ว ผู้บริหารคนเดิมถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว และมีคนญี่ปุ่นมาเป็นตัวหลักในการบริหารงาน

เมื่อเจอปัญหาอย่างนี้จัดการอย่างไรต่อ
ผมก็คิดว่าจะทำอย่างไรต่อ จะเอาป้ายไปตั้งหน้าสาขาอีซี่บายทุกสาขาเลยดีไหม หรือจะขึ้นป้ายใหญ่ ให้พนักงานไปแจกใบปลิวว่าอีซี่บายโกง หรือจะส่งใบปลิวไปยังบริษัทลูกค้าซึ่งมากว่า 5 พันราย ว่าใครในบริษัทมีปัญหาอีซี่บายให้โทรกลับมาที่เรา

เหมือนกับว่าอย่างไรก็จะต้องทำอะไรสักอย่าง
ครับ เพราะผมอยากให้คนที่จะใช้บริการของอีซี่บายรู้ถึงปัญหานี้ว่าจริง ๆ แล้วโหดยิ่งกว่า ร้อยละ 20 มันโหดมาก ๆ ซึ่งตอนที่ไปแจ้งความที่กองปราบมีการคำนวณดอกเบี้ยของผมออกมาเป็นร้อยละ 87.11ต่อปี ที่ทำให้เงินที่ส่งไปได้เงินต้น 90 บาท และ 150 บาท

ตอนหลังก็เห็นเอกสารเป็นหมายศาลมา แต่ดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่หมายศาลจริง เป็นเพียงใบขู่เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้กลัวอะไร

ตอนนี้ก็อยู่กระบวนการทางกฎหมาย
ครับ อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ผมได้ไปปรึกษาสภาทนายความพระนคร ได้รับคำแนะนำว่าให้อยู่เฉย ๆ ไว้รอให้เขาฟ้อง แล้วจะได้จ่ายถูก ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด

ตอนนี้หยุดจ่ายมาแล้วกี่เดือน
9 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นยื่นฟ้องสักที มีแต่ส่งจดหมายขู่มาอย่างเช่น แจ้งผิดนัดแล้ว จะระงับในเครดิตบูโร

แล้วแบบนี้เงินที่ต้องชำระเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
เยอะขึ้นครับ จากแต่เดิมผมกู้มา 4 หมื่นบาท แต่ได้รับเงิน 33,000 พัน ผมชำระไปแล้ว 17,000 ก็เหลืออีกหมื่นกว่าบาท ถ้าบวกดอกเบี้ยตามที่บอกก็อีกไม่กี่บาท หลังจากหยุดมา 9 เดือนก็มีค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมอะไรก็ไม่รู้ ก็ขึ้นมาเป็น 57,144 บาท บวกกับอีก 4,000 บาท ก็เป็น 61,144 บาท

ตอนนี้ไม่ได้ตกใจหรือเสียใจนะครับ เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาทางอีซี่บายติดต่อมาหาบอกว่าผมจะชำระได้เท่าไร ผมก็ให้เขาคำนวณออกมาเขาบอกให้ผมชำระ 35,000 บาท จาก 61,144 บาท แต่ดูแล้วก็ยังเยอะอยู่ดี ก็ให้กลับไปคิดใหม่และหากยืนยันให้ชำระ 35,000 บาทก็ไปคุยกันที่ศาล

จากประสบการณ์ที่ผ่านมามีคำแนะนำอะไรกับลูกหนี้บ้าง
การที่จะไปกู้สถาบันการเงินอะไรนั้นต้องดูให้ดีก่อน อ่านให้ดี ตรวจเอกสารให้เรียบร้อย หรืออ่านให้ฟังก็ได้หากว่าอ่านไม่ออก ให้เขาคำนวณให้ดูเพราะตอนนี้สถาบันแต่ละสถาบันการคำนวณไม่เหมือนกัน ดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ก็ให้เขาคำนวณให้ดูตั้งแต่ต้นเลย จะได้ไม่ผิดพลาด

แต่ถ้าคุณพลาดไปแล้ว ไม่ต้องตกใจในคำขู่ และถ้าเขามายึดอะไรที่บ้านสามารถแจ้งตำรวจจับเขาได้ทันที ไม่ต้องไปกลัวพวกนี้ก็แค่คนทวงหนี้ธรรมดา และก็ไม่ต้องไปด่าเขาเพราะเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ที่ต้องมาทวงหนี้เพราะกินเงินเดือน

พิมพ์ อีเมล