เมื่อวันที่ 25 พ.ค.กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยปริมาณการใช้ก๊าซหุงต้มในเดือน เม.ย.อยู่ที่ 3.66 แสนตัน แม้ลดลงเมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.อยู่ที่ 3.87 แสนตันก็ตาม แต่ในเดือน เม.ย.มีวันหยุดจำนวนมากและมีเหตุการณ์การชุมนุมทำให้มีปริมาณการใช้เชื้อเพลิงทั้งน้ำมันและก๊าซฯ ลดลงด้วย แต่สิ่งที่ต้องติดตามคือปริมาณการใช้ก๊าซหุงต้มในภาคปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ยเดือนละ 1 แสนตัน และการใช้ในภาคขนส่งที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้การใช้ก๊าซหุงต้มในเดือน พ.ค.น่าจะอยู่ในระดับ 4 แสนตัน
สำหรับการใช้ก๊าซหุงต้มในเดือน เม.ย.แยกเป็นการใช้ภาคครัวเรือน 1.71 แสนตัน ภาคอุตสาหกรรม 3.81 หมื่นตัน ปั๊มก๊าซหุงต้ม 5.45 หมื่นตัน และปิโตรเคมี 1.02 แสนตัน โดยกลุ่มที่ขยายตัวชัดเจน คือ ภาคอุตสาหกรรมและปิโตรเคมี เนื่องจากเศรษฐกิจมีสัญญาณดีขึ้นจากออเดอร์สินค้าทำให้โรงงานอุตสาหกรรมกลับมาเดินเครื่องผลิตสินค้าบางส่วน นอกจากนี้ปัจจัยราคาน้ำมันที่มีทิศทางสูงขึ้นตามตลาดโลกและการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทำให้แอลพีจีภาคขนส่งกลับมาขยายตัวเหมือนปีที่ผ่านมา คาดว่าการนำเข้าในระยะถัดไปจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันเฉลี่ยเดือนละ 6-8 หมื่นตัน จากช่วงต้นปีอยู่ที่ 2-4 หมื่นตันเท่านั้น และบางเดือนอาจต้องนำเข้าถึง 1 แสนตัน
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ยอมรับว่า การใช้ก๊าซหุงต้มมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใกล้ระดับ 30 บาทต่อลิตร โดยเฉพาะเบนซิน 95 ที่ใกล้ระดับ 40 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม กรมธุรกิจพลังงานจะช่วย ปตท.บริหารจัดการการเก็บสำรองก๊าซหุงต้มให้เพียงพอ เพราะความสามารถของคลังก๊าซฯ ที่เขาบ่อยามีข้อจำกัด ซึ่งในระยะสั้นอาจต้องใช้คลังก๊าซฯ ของภาคเอกชนช่วยจัดเก็บก่อน แต่ในอนาคต ปตท.ต้องขยายคลังเพื่อรองรับการนำเข้า.
นสพ.ไทยโพสต์ 25/5/52