พลังงานทดแทนจึงเป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาช่วยเป็นพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน
พลังงานแสงอาทิตย์ คือหนึ่งในนั้น ปัจจุบันกระทรวงพลังงานสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ให้หันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายมาตรการ
โดยเฉพาะกำหนดอัตราการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าไว้ที่ หน่วยละ 8 บาท
ในภาพรวม การผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในประเทศไทยถือว่าเพิ่มเริ่มต้น ด้วยข้อจำกัดของโซลาร์เซลล์ที่มีต้นทุนสูง ผลิตกระแสไฟฟ้าได้เฉพาะกลางวัน
ถ้าจะใช้กลางคืน ต้องเอาไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ก็มีอายุใช้งานเพียง 1-2 ปี ก็เสื่อมคุณภาพ ทำให้ต้นทุนยิ่งสูงมากขึ้น
ประเด็นสำคัญ โซลาร์เซลล์ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้จำนวนมาก ระดับโรงไฟฟ้าที่จะแจกจ่ายให้กับบ้านเรือนต่างๆได้เหมือนโรงไฟฟ้าพลังงานแก๊ส ถ่านหิน
หรือถ้าผลิตได้ โรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาลไม่คุ้มทุน แต่จะคุ้มก็ต่อเมื่อราคารับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 12 บาท
“เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ได้มีเพียงโซลาร์เซลล์ ปัจจุบันยังมี ระบบโซลาเทอร์มอลล์ หรือระบบความร้อนรวมแสงผลิตไฟฟ้าได้เช่นกัน”
กาญจน์ ตระกูลธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามโซลา เอนเนอยี่ จำกัด บอก
ระบบความร้อนรวมแสง นำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าใช้ในบ้านเรือน อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ไปจนถึงระดับโรงไฟฟ้าได้
กาญจน์ บอกว่า ระบบนี้มีหลายเทคโนโลยี แต่ที่เหมาะกับประเทศไทย คือ ระบบ Parabolic trough หรือที่เรียกง่ายๆว่า ระบบรางความร้อนรวมแสง
หลักการคร่าวๆ คือ การนำความร้อนที่ได้จากรางที่รวมแสงไปปันเทอร์ไบน์ให้ผลิตกระแสไฟฟ้าออกมา ส่วนในเวลากลางคืน ระบบก็จะเอาความร้อนที่ได้ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเก็บไว้ในถังเก็บความร้อนค่อยๆปล่อยมาใช้
ภาคการทำงานหลักแบ่งออกเป็น 3 ส่วน...ส่วนแรกเริ่มจาก SOLAR FIELD รับพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเปลี่ยนมาเป็นพลังงานความร้อน...เป็นส่วนที่ลงทุนสูงที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 70
ส่วนที่สอง STORAGE TANK เป็นส่วนการเก็บพลังงานความร้อน เพื่อนำมาใช้ในช่วงเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์...เป็นส่วนที่ลงทุนร้อยละ 5
ส่วนสุดท้าย POWER CYCLE ผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้พลังงานความร้อนหมุนกังหันไอน้ำเพื่อไปปันเจนเนอเรเตอร์ผลิตกระแสไฟฟ้า... เป็นส่วนที่ลงทุนรองลงมา อยู่ที่ร้อยละ 25
“ระบบนี้ไม่ใช่ระบบใหม่ เป็นระบบที่คิดค้น...ทำกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว แพร่หลายในอเมริกา ยุโรป แถบเอเชียมีน้อยมาก เพราะทำแล้วไม่คุ้มทุน สู้ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลไม่ได้” กาญจน์ ว่า
ปัจจุบันเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังจะหมดลง และมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น พลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นทางออกของพลังงานทางเลือกสำคัญ
มองในแง่การลงทุน ระบบรางความร้อนรวมแสงถือว่าค่อนข้างสูง ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้
โรงไฟฟ้า 1 โรง ขนาด 8 เมกะวัตต์ ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท
ย้ำจุดแข็งของเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าระบบรางความร้อนรวมแสง ข้อแรก...เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง ข้อที่สอง...ไม่มีต้นทุนทางด้านวัตถุดิบและพลังงาน
ข้อที่สาม...ต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำ ข้อที่สี่...สามารถลดปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาด ไม่มีมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 70... จากลิกไนต์ถ่านหิน ร้อยละ 17...จากพลังงานน้ำ ร้อยละ 5...จากน้ำมันเตา ร้อยละ 4...จากพลังงานอื่นๆ ร้อยละ 4
ข้อมูลปี 2549 เราใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยประมาณ 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน...จากพม่าประมาณ 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ถ้าคิดในอัตราการผลิตกระแสไฟฟ้าต่อหน่วยแล้ว ต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 2 บาทต่อหน่วย
คาดการณ์ว่า ถ้ายังใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้าไปเรื่อยๆอย่างนี้ ก๊าซจะหมดในอีก 30-40 ปี
สมมติว่า โรงไฟฟ้ากำลังผลิต 10 เมกะวัตต์ ถ้าใช้ก๊าซธรรมชาติทั้งหมด จะมีต้นทุนปีละ 200 ล้านบาท แต่ถ้าผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จะประหยัดค่าวัตถุดิบปีละ 200 ล้านบาท
ปัญหามีว่า โรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติ มีต้นทุนก่อสร้างต่ำกว่าโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 5 เท่าตัว
ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20.20 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับพลังงานทดแทนอื่น ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าพลังงานกังหันลม ขยะ หรือชีวมวล
ช่วงเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันปี 2518 การผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ต้นทุน 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัตต์...ผ่านไป 15 ปี ต้นทุนลดลงเหลือ 8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัตต์ ลดลงไปกว่า 7 เท่าตัว
ยุคต่อมาปี 2545 ต้นทุนเซลล์แสงอาทิตย์ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ เซลล์ชนิดผลึกมัลติคริสตัล ผลิตไฟฟ้าด้วยต้นทุน 3-3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัตต์ ขณะที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น สูญเสียพลังงานความร้อนลดลง
ยุคต่อมาปี 2545 ต้นทุนเซลล์แสงอาทิตย์ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ เซลล์ชนิดผลึกมัลติคริสตัล ผลิตไฟฟ้าด้วยต้นทุน 3-3.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัตต์ ขณะที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น สูญเสียพลังงานความร้อนลดลง
คาดกันว่า อีก 2 ปีข้างหน้า ภายในปี 2553 ต้นทุนจะลดลงอีก เหลือแค่ 1.0-1.25 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัตต์ หากในอนาคต มีการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์แพร่หลาย มั่นใจได้ว่าจะทำให้ต้นทุนดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงมากกว่านี้
สหภาพยุโรปรายงานว่า ปี 2553 ทั่วโลกจะมีการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ รวม 14,000 เมกะวัตต์ ก่อนจะก้าวกระโดดเป็น 70,000 เมกะวัตต์ ในปี 2563
ปี 2573 จะขยายไปอีกเท่าตัว เป็น 140,000 เมกะวัตต์
ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์มากที่สุด ประมาณร้อยละ 46 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก อยู่ที่ 1,656 เมกะวัตต์
รองลงมา ประเทศแถบยุโรป ร้อยละ 28 ส่วนประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา อยู่อันดับ 3 มีสัดส่วนการผลิตร้อยละ 10
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในแถบอาเซียนที่บุกเบิกโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ หากยังจำกันได้... โรงไฟฟ้าผาบ่อง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนาดกำลังผลิต 500 กิโลวัตต์ ผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ที่สายส่งไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
ต้นทุนการผลิต อยู่ที่ 10 บาทต่อหน่วย แต่ก็คุ้มค่าที่จะลงทุน
เทียบกับโรงไฟฟ้าดีเซล โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อม... จากการเผาไหม้น้ำมันดีเซลผลิตไฟฟ้ากว่า 5 แสนกิโลกรัมต่อปี
โรงไฟฟ้าผาบ่อง ผลิตกระแสไฟฟ้าเสริมช่วงกลางวัน ช่วยประหยัดการปันไฟจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ...แถมเก็บไฟเอาไว้ใช้ในช่วงหัวค่ำ ช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด และยังช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล ของโรงไฟฟ้าดีเซลได้ปีละกว่า 2 แสนลิตร มูลค่า 3 ล้านบาท
สภาวะปัจจุบัน...ประเทศไทยมีความพยายามหาพลังงานทดแทนมาผลิตกระแสไฟฟ้าปีละ 5,000 เมกะวัตต์ แต่ภาคเอกชนมีศักยภาพขายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทต่างๆ ได้เพียง 500 เมกะวัตต์เท่านั้น เหตุผลเก่าก่อน โรงงานไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลงทุนไม่คุ้ม เทคโนโลยีไม่ทันสมัย ทำไม่ได้...เอามาอ้างในยุคนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ที่แน่ๆ แสงอาทิตย์เป็นพลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนซื้อหา ไม่ต้องนำเข้า... ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย ประเทศไทยมีศักยภาพเต็มร้อยกับพลังงานแสงอาทิตย์... มีความจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ เอาไว้เป็นขุมกำลังสำรอง.
นสพ.ไทยรัฐ 14-01-52