คำเตือน

JFolder: :files: Path is not a folder. Path: /home/consumer/web/consumerthai.org/public_html/images/action/energy/551007_energy-gas/

แจ้งให้ทราบ

There was a problem rendering your image gallery. Please make sure that the folder you are using in the Simple Image Gallery plugin tags exists and contains valid image files. The plugin could not locate the folder: images/action/energy/551007_energy-gas/

เครือข่ายผู้บริโภคลุยทวงคืนท่อก๊าซ

7 ต.ค. ที่หอศิลปะและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหนคร ถนนพระราม1 มีการเสวนาเรื่อง "รวมพลคนร่วมฟ้อง คดีทวงคืนท่อก๊าซจาก ปตท."และเปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อมอบอำนาจให้ทนายความฟ้องศาลปกครองสูงสุดให้คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน บริษัท ปตท.และกระทรวงการคลังร่วมกันติดตามท่อก๊าซบนบกและในทะเลคืนกลับมาเป็นของรัฐ

 

ทั้งนี้เป็นทรัพย์สินที่มีมาก่อน 1 ต.ค. 2544 ทั้งหมด ท่อก๊าซเส้นที่3 ส่วนที่อยู่ในทะเลที่เริ่มดำเนินการปี2550 แต่วางท่อในทะเลก่อนแปรสภาพ ซึ่งมีหนังสือโต้ตอบระหว่างกระทรวงการคลังกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมีมูลค่าประมาณ 47,664 ล้านบาท โดยเครือข่ายจะยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 15 ต.ค. เวลา 11.00 น.

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดชัดเจนว่าให้แบ่งทรัพย์สินกลับคืนมาเป็นของรัฐและให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบทรัพย์สิน โดย ปตท. คืนเงินให้ 1.6 หมื่นล้านบาททั้วๆที่ต้องคืน 5.2 หมื่นล้านบาท จึงยังไม่ครบมูลนิธิและเครือข่ายได้ยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดเพื่อบังคับคดี แต่ศาลเห็นว่าไม่ใช่ผู้เสียหายเป็นเพียงผู้ร้องเท่านั้น

นางสาวสารีกล่าวว่า จากนั้นเครือข่ายได้ไปยื่นเรื่องที่กระทรวงการคลังและพลังงานเพื่อให้นำทรัพย์สินคืนมา แต่กลับไม่มีหน่วยงานไหนดำเนินการ และต่อมามา ปตท.เอาท่อที่ต้องคืนตามคำพิพากษาไปตีมูลค่าใหม่เพื่อหาประโยชน์จากกานให้เช่า ทำให้ผู้บริโภคต้องเสียค่าใช้ค่าไฟฟ่าแพงขึ้น หลังจากจัดเวทีเสวนาไป10 ครั้ง จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าบังคับคดีเพื่อเอาทรัพย์สินกลีบคืนมา

"เงินเหล่านี้ควรนำมาเป็นเงินเพื่อกิจการสาธารณะ เบี้ยบำนาญประชาชน ไม่ควรตกไปเป็นของคนไม่กี่คน" นางสาวสารีกล่าว

ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา และประธานคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาล กล่าวว่า แม้ศาลจะบอกว่าการแปรรูป ปตท.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็มีกฎหมายกำกับกิจการด้านพลังงานออกมาบังคับใช้แล้วก่อนศาลตัดสินเพียง 4 วันในเดือนธันวาคม2550 และขณะนั้นมีกระแสการต่อสู้ทางสังคมว่าหากศาลเพิกถอนการแปรรูปเหมือนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตรัฐจะต้องจ่ายเงินสามถึงสี่แสนล้านบาท สังคมเกิดอาการอ่อนไหว  เมื่อเกิดรัฐประหารกฎหมายกำกับกิจการพลังงานที่มีกว่า 100มาตรา ก็ผ่านการพิจารณาในเวลาเพียงสามเดือน หากดป็นช่วงปกติไม่มีทางที่กฎหมายที่มากว่า100 มาตราจะผ่านการพิจารณาได้ภายในเวลา3 เดือน

ทั้งนี้ศาลเห็นว่าการที่รัฐบาลออกพรบ.กำกับกิจการพลังงานสามารถเยียวยาความเสียหายได้ โดยศาลแยกทรัพย์สินก่อนที่จะมีการออกกฎหมายกำกับกิจการพลังงานออกมาประกอบด้วย 1.ทรัพย์สินสาธารณะ 2.สิทธิการใช้ที่ดิน และ3.ปตท.ไม่สามารถใช้อำนาจมหาชนได้อีกต่อไป แต่ ปตท.คืนทรัพย์สินที่อยู่บนบกเท่านั่น แต่ในทะเลกลับไม่คืนให้รัฐ ซึ่งสตง.ตรวจพบว่ามีมูลค่าทางบัญชี 5.2 หมื่นล้านบาท

"เรื่องนี้เป็นการคอรัปชั่นทางนโยบายอย่างมโหฬาร ปล้นกลางแดด ตีทรัพย์สินในราคาถูกแล้วนำไปให้เช่าในราคาที่แพง" น.ส.รสนากล่าว

น.ส.รสนากล่าวจนถึงขณะนี้ไม่มีใครติดคุก เพราะไม่ได้ดำเนินการส่งทรัพย์สินคืน ปตท.อ้างคำว่าศาลรับทราบว่าคืนทรัพย์สินแล้ว แต่ความจริงคืนไม่ครบ และอย่าไปสนใจเรื่องตัวเงิน เพราะเราต้องการท่อก๊าซคืนทั้งระบบ และขณะนี้ทรัพย์สินมีมูลค่า1.2 แสนล้านบาทไปตกอยู่ในมือเอกชนแบบผูกขาดและส่อขัดรัฐธรรมนูญที่รัฐต้องคุ้มครองผู้บริโภค

ด้านนางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ปตท.ไม่รับผิดชอบต้นทุน เพราะรัฐจ่ายให้ทั้งหมด เมื่อมีความผันแปรก็ปรับเปลี่ยนค่าเอฟทีทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟแพงขึ้น รัฐบอกเราว่ามีพลีงงานน้อยต้องประหยัด แล้วทำไมต้องอนุญาตให้มีการส่งออก อนุญาตให้เอกชนต่างชาติเข้ามาขุดพลังงานแล้วแบ่งส่วนแบ่งให้ประเทศน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

{gallery}action/energy/551007_energy-gas/{/gallery}

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน