กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน และ กลุ่มสภาพแรงงานภาคตะวันออก เดินหน้าปฏิรูประบบสุขภาพ สร้างความเท่าเทียมกันด้านสุขภาพ เน้นให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกับสิทธิอื่นๆ กรณีการรักษาพยาบาล
วันนี้(19 พ.ค. 57) ห้องประชุมมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค – กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ร่วมกับ ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก ร่วมมือกันเดินหน้าปฏิรูประบบสุขภาพ ให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
สมพร ขวัญเนตร ประธานกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเกิดความเหลื่อมล้ำที่ผู้ประกันตนไม่ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศทั้งที่เป็นคนกลุ่มเดียวที่ยังร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลรายเดือนเข้ากองทุนประกันสังคมอยู่ และที่ผ่านมาจากการลงพื้นที่คุยกับพี่น้องในสหภาพมาตลอด 2 ปี ก็พบว่านอกจากเรื่องสิทธิประโยชน์ไม่เท่าเทียมแล้ว ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติต่อคนแต่ละสิทธิต่างกันด้วย”
สมพร ขวัญเนตร กล่าวต่อ ถึงข้อเสนอเร่งด่วนจากพี่น้องแรงงาน คือการเข้าถึงสิทธิที่ยังติดล๊อคว่าต้องสมทบเงินเข้ากองทุนไม่น้อยกว่า 3 เดือนจึงจะได้สิทธิการรักษา และกรณีคลอดบุตรต้องสมทบไม่น้อยกว่า 7 เดือนจึงจะได้สิทธิรับค่าคลอดเหมาจ่าย ซึ่งทำให้พี่น้องผู้ประกันตนติดล๊อค จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพก็ไม่ได้ จะไปใช้สิทธิประกันสังคมก็ยังไม่ได้สิทธิ จึงเรียกร้องให้เกิดสิทธิทันทีที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
อีกประเด็นใหญ่ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างเห็นได้ชัดคือ ประเด็นเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ยังต่างกันอยู่ในหลายประเด็น ข้อเสนอคือ
(1) ให้การคลอดเป็นการรักษาพยาบาล โดยไม่ต้องสำรองจ่ายเอง และเงินเหมาจ่ายค่าคลอดบุตรเดิมให้คงไว้ถือเป็นสิทธิที่ร่วมสมทบ ยกเลิกการจำกัดให้คลอดได้ 2 ครั้ง
(2) ยกเลิกการจำกัดสิทธิไม่รักษากรณีการทำร้ายตัวเอง (ฆ่าตัวตาย) ต้องรักษาทุกกรณีไม่ว่าการทำร้ายตนเองจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
(3) การรักษาเกี่ยวกับฟัน ต้องไม่กำหนดเพดานวงเงินและเงื่อนไขจำนวนครั้งต่อปี ต้องเป็นไปตามจำเป็น
(4) ให้สิทธิการรักษากรณีการบำบัดสารเสพติดต่างๆ
(5) พัฒนาสิทธิประโยชน์การดูแลรักษาผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย ให้ได้รับการบำบัดทดแทนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดอย่างโปรตีนแฟคเตอร์ (factor) ที่เท่าเทียมเช่นเดียวกัน สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า “อีกประการสำคัญที่ผู้ประกันตนไม่ได้รับสิทธิเท่ากับประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือการได้รับการคุ้มครองสิทธิเมื่อได้รับความเสียหายจากการรับบริการจากโรงพยาบาลตาม มาตรา 41 พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ประกันตนต้องร้องทุกข์ไปที่คณะกรรมการอุทธรณ์ หรือฟ้องศาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งใช้เวลานาน ไม่ทันต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองสิทธิด้านนี้ให้ผู้ประกันตนด้วย”
“นอกจากนี้สิทธิในการเข้าถึงการส่งเสริมป้องกันโรค ที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้สิทธิทุกคน ครอบคลุมผู้ประกันตนด้วย แต่ปัญหาในทางปฏิบัติคือผู้ประกันตนไม่รู้สิทธิ และเข้าไม่ถึงสิทธิ หรือหากมีการตรวจคัดกรองโรคแล้วพบว่าป่วย ก็ไม่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลในสิทธิประกันสังคม ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีผู้ประกันตนตรวจคัดกรอง พบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ไม่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลตามสิทธิ ใช้เวลาจนอาการของโรคลุกลามมากขึ้น ผู้ประกันตนควรเข้าถึงบริการส่งเสริมป้องกันโรคที่เกี่ยวเนื่องกับอาชีพ และวัยที่เหมาะสม ตลอดจนการเข้าถึงการคุมกำเนิดที่สะดวก ทั่วถึง เพื่อลดผลการตั้งครรภ์ไม่พร้อม” ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกล่าว (ผู้ประกันตนได้รับ 5 สิทธิประโยชน์ บวก 1 การส่งเสริมสุขภาพตามอาชีพ)
อภิวัฒน์ กวางแก้ว สมาชิกชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวว่า “ในส่วนการขับเคลื่อนและทำงานต่อไปนั้น ทางผู้ประกันตนและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ จะขับเคลื่อนร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อเป็นตัวแทนไปเจรจาข้อเสนอกับสำนักงานประกันสังคม โดยเฉพาะคณะกรรมการการแพทย์ ให้ยกเลิกสิ่งที่ทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิไม่เท่าเทียมคนอื่นๆ การเพิ่มสิทธิให้เท่าเทียมกัน ด้วยการไปติดตาม และเกาะติดอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะได้รับสิทธิ พร้อมกับการจัดทำร่างกฎหมายประกันสังคมภาคประชาชนขึ้นใหม่ เพื่อทำให้ระบบประกันสังคมไม่ล้าหลัง สามารถเป็นหลักประกันให้คนทั้งสังคมได้จริง ทั้งนี้เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ ไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในคนไทยด้วยกันอีกต่อไป”