ครม.ควัก 1.4 หมื่นล้าน แก้สารพัดกฎรับมติโยก 5.88 ล้านคนจากบัตรทองสู่ประกันสังคม
วานนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรงบประมาณ 14,416 ล้านบาท ให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตน โดยก่อนหน้านี้ได้มีมติให้ตัดบุคคลเหล่านี้ซึ่งมีราว 5.88 ล้านคน ออกจากการดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มาอยู่ในการดูแลของสปส.
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการชี้แจงถึงการแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสปสช.แต่อย่างไร เพราะปัจจุบันนี้สปสช.ดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพประชาชน 47.3 ล้านคน โดยใช้หลักการเฉลี่ยสุขเฉลี่ยทุกข์ เมื่อรัฐบาลตัดกลุ่มคน 5.88 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยเจ็บป่วยออกไป ทำให้สปสช.อาจจะมีงบประมาณไม่พอใช้ดูแลคนที่เหลือซึ่งเป็นคนป่วย
สำหรับการเสนอเรื่องต่อครม.ครั้งนี้กระทรวงแรงงานบอกแต่ความจำเป็นในการได้รับเงินเพิ่ม และประมาณการที่จะใช้ แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าประชาชนจำนวน 5.88 ล้านคน จะได้รับสิทธิประโยชน์ดีกว่าหรือด้อยกว่าอยู่กับสปสช.
ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ป่วยได้เคลื่อนไหวคัดค้านเพราะเห็นว่าการย้ายไปอยู่กับสปส.จะได้รับบริการและยาที่ด้อยกว่าอยู่กับสปสช. โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเอดส์ ฯลฯ
นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติอีกหลายประการที่แสดงให้เห็นว่ามีปัญหาและความไม่พร้อมหลายอย่างในการดำเนินการครั้งนี้ อาทิ ให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายจาก 90 วันเป็น 120 วัน
ทั้งนี้ เปิดให้สถานพยาบาลขนาดต่ำกว่า 100 เตียงเป็นคู่สัญญาหลักของสปส.ได้ เพื่อเพิ่มจุดบริการมากขึ้น แต่คน 5.88 ล้านคนก็จะไม่ได้รับความสะดวกในการรักษาพยาบาลอยู่ดี เพราะถ้าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินผู้อยู่ในระบบสปส.ต้องไปรักษาจากโรงพยาบาลที่เลือกเท่านั้น ผิดกับสปสช.ซึ่งใช้บัตรประชาชนขอรักษาจากสถานพยาบาลของรัฐได้ทั่วประเทศ
ข้อมูลจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์ 2 / 9 / 52
วานนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดสรรงบประมาณ 14,416 ล้านบาท ให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตน โดยก่อนหน้านี้ได้มีมติให้ตัดบุคคลเหล่านี้ซึ่งมีราว 5.88 ล้านคน ออกจากการดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มาอยู่ในการดูแลของสปส.
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการชี้แจงถึงการแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสปสช.แต่อย่างไร เพราะปัจจุบันนี้สปสช.ดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพประชาชน 47.3 ล้านคน โดยใช้หลักการเฉลี่ยสุขเฉลี่ยทุกข์ เมื่อรัฐบาลตัดกลุ่มคน 5.88 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยเจ็บป่วยออกไป ทำให้สปสช.อาจจะมีงบประมาณไม่พอใช้ดูแลคนที่เหลือซึ่งเป็นคนป่วย
สำหรับการเสนอเรื่องต่อครม.ครั้งนี้กระทรวงแรงงานบอกแต่ความจำเป็นในการได้รับเงินเพิ่ม และประมาณการที่จะใช้ แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าประชาชนจำนวน 5.88 ล้านคน จะได้รับสิทธิประโยชน์ดีกว่าหรือด้อยกว่าอยู่กับสปสช.
ก่อนหน้านี้กลุ่มผู้ป่วยได้เคลื่อนไหวคัดค้านเพราะเห็นว่าการย้ายไปอยู่กับสปส.จะได้รับบริการและยาที่ด้อยกว่าอยู่กับสปสช. โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเอดส์ ฯลฯ
นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติอีกหลายประการที่แสดงให้เห็นว่ามีปัญหาและความไม่พร้อมหลายอย่างในการดำเนินการครั้งนี้ อาทิ ให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายจาก 90 วันเป็น 120 วัน
ทั้งนี้ เปิดให้สถานพยาบาลขนาดต่ำกว่า 100 เตียงเป็นคู่สัญญาหลักของสปส.ได้ เพื่อเพิ่มจุดบริการมากขึ้น แต่คน 5.88 ล้านคนก็จะไม่ได้รับความสะดวกในการรักษาพยาบาลอยู่ดี เพราะถ้าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินผู้อยู่ในระบบสปส.ต้องไปรักษาจากโรงพยาบาลที่เลือกเท่านั้น ผิดกับสปสช.ซึ่งใช้บัตรประชาชนขอรักษาจากสถานพยาบาลของรัฐได้ทั่วประเทศ
ข้อมูลจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์ 2 / 9 / 52