สธ.คาดโทษจำหน่ายลูกชิ้นไม่ติดฉลาก ตรวจพบจับปรับทันที

สธ. คาดโทษผู้ประกอบการ ผู้จำหน่ายลูกชิ้นที่ยังไม่ติดฉลากตามประกาศของ อย. หากตรวจพบอีกจะจับปรับทันที 30,000 บาท และตามตรวจมาตรฐานโรงงานต้นตอ เผยผลการสุ่มตรวจในเขต กทม.และปริมณฑล 13 แห่ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 พบมีผู้ปฏิบัติถูกต้องน้อยมาก เพียงร้อยละ 8 เท่านั้น

 

อ่านต่อ

พิมพ์ อีเมล

เร่งแก้วิกฤติขาดไอโอดีน สธ.มอบ1.2 ล้านเม็ดให้กลุ่มเสี่ยง สั่งรง.ปรุงรสเติมด่วน !!

สธ.เร่งแก้วิกฤตขาด ไอโอดีนแก้ปัญหาเด็กไทยไอคิวต่ำ ด้าน อภ.มอบยาเม็ดเสริมไอโอดีน 1.2 ล้านเม็ด ให้ 2 กลุ่มเสี่ยง ขีดเส้นโรงงานเครื่องปรุงรส ต้องเติมไอโอดีนภายใน 90 วัน

วันนี้ (1 ต.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในงานแถลงข่าวนโยบายการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ หวังเร่งแก้ปัญหาการขาดสารไอโอดีนใน 2 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มทารกแรกเกิด

โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า โรคขาดสารไอโอดีนเป็นปัญหาสาธารณสุขด้านโภชนาการที่สำคัญปัญหาหนึ่งของประเทศ จากผลการศึกษาทั่วโลกพบว่าการ ขาดสารไอโอดีนพบได้ในทุกกลุ่มอายุแต่จะส่งผลร้ายแรงชัดเจนในกลุ่มทารก ตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 3 ปี โดยหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดสารไอโอดีนแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อทารกทำให้มี พัฒนาการทางสมองไม่เต็มที่อาจทำให้ทารกตายในครรภ์ แท้ง หรือพิการ หากขาดไอโอดีนในระดับปานกลางจะทำให้เด็กมีสติปัญญาด้อย การเรียนรู้ไม่เต็มศักยภาพ มีผลต่อระดับไอคิวของเด็กได้ถึง 10-15 จุด และหากขาดไอโอดีนขั้นรุนแรงอาจทำให้ปัญญาอ่อน ขณะที่ในวัยผู้ใหญ่หากได้รับไอโอดีนไม่เพียงพออาจทำให้อ่อนเพลียง่าย สมองเฉื่อยชา ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

สำหรับประเทศไทยถือว่ากำลังประสบปัญหาโรคขาดสารไอโอดีน เช่น เดียวกัน จากการที่ สธ.พบข้อมูลว่า มีพัฒนาการทางสมองลดลงเรื่อยๆ เนื่องมาจากปัญหาการขาดสารไอโอดีนนั้น สธ.มีนโยบายที่จะให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับ “ยาเม็ดเสริมอาหารสำคัญ” จึงได้มอบให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) มีการวิจัยและพัฒนายาเม็ดไอโอดีนสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดย อภ.ได้ดำเนินการพัฒนายา 2 สูตรตำรับ ได้แก่ ยาเม็ดไอโอดีนเดี่ยว ขนาด 0.15 มก.ซึ่งจะให้เฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคโลหิตจาง และยาเม็ดผสมไอโอดีน 0.15 มก. กรดโฟลิก 0.40 มก.และธาตุเหล็ก 60.81 มก. โดย ขณะนี้ อภ.มีผลิตภัณฑ์ยาสำเร็จรูปออกมามอบให้กับสธ.จำนวน 1.2 ล้านเม็ด 1 ต.ค.นี้ สธ.จะดำเนินการให้ยาแก่เด็กทารกแรกเกิดและหญิงตั้งครรภ์ใหม่ วันที่ 1 ต.ค.นี้ ส่วนหญิงตั้งครรภ์เดิมจะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.โดยที่ประชาชนไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับค่าใช้จ่ายในการแจกยาเม็ดฯ นั้นครั้งนี้ยังไม่ได้คำนวณอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าน่าจะใช้งบประมาณราว ปีละ 50 ล้านบาท

“ทั้งนี้ คาดว่าเม็ดดังกล่าวจะได้ดำเนินการลงทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อย่างเป็นทางการในอีกราว 6-12 เดือนข้างหน้า แต่เนื่องจากเป็นนโยบายเร่งด่วนก็จะดำเนินการแจฟรีแก่ 2 กลุ่มดังกล่าวไปก่อน” นายจุรินทร์กล่าว

รมว.สธ.กล่าวอีกว่า ในปีงบประมาณ 2554 สธ.จะดำเนินการควบคุมและป้องกันโรคขาดสารไอโอดีนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดกิจกรรม “วิ่งรณรงค์ธงชัยไอโอดีน เพิ่มไอโอดีน เพิ่มไอคิว” เพื่อแสดงพันธสัญญาร่วมกับการใช้เกลือเสริมไอโอดีน ทั้งนี้ สธ.ได้ออกประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ 27 ก.ย.2553 ถึงผู้ประกอบการ โรงงานเกลือ ซอส น้ำปลา และซีอิ๊ว จะต้องเร่งดำเนินการเติมไอโอดีนลงในผลิตภัณฑ์ของตนภายใน 90 วัน หากไม่ทำตามถือเป็นอาหารปลอม อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงงานเกลือดำเนินการเติมไอโอดีนแล้วมีจำนวน 59 แห่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่และขนาดกลาง ส่วนโรงงานขนาดเล็กอีก 133 โรงจะต้องดำเนินการในลำดับต่อไปตามวันและเวลาที่กำหนด

........................................................................................................................

ที่มา:

ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ตุลาคม 2553 12:28 น.

พิมพ์ อีเมล

พิจิตรผวาผักปลอดสารพิษของปลอมระบาด

เตือน ระวังผักปลอดสารพิษปลอม หลังผู้ปลูกผักทางภาคเหนือ ใช้ทรายร้อนจัดสาดลงในแปลงผัก เพื่อทำให้ใบผักทะลุเป็นรู เหมือนมีแมลงกัดกิน


จาก สถานการณ์น้ำท่วม ส่งผลให้พืชผักสวนครัว และแปลงผักปลอดสารพิษของ จ.พิจิตร ในหลายพื้นที่ต้องถูกน้ำท่วม ทำให้ต้องสั่งซื้อพืชผักมาจากจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งประชาชนที่เลือกซื้อผักใบเขียวตามตลาดสดต่างๆ ก็มักนิยมจะบริโภคผักปลอดสารพิษ โดยไม่เกี่ยงราคา แต่ขณะนี้ได้มีคำเตือนให้ระวังและสังเกตที่ใบผักให้ดี เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ มักจะเลือกซื้อผักที่เขียวสด ต้องมีรอยแมลงกัดกิน หรือเจาะลงในใบ เพราะมั่นใจว่าผักใบเขียวที่มีลักษณะดังกล่าว จะเป็นผักปลอดสารพิษ และจะไม่ใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อฆ่าแมลง เพราะมีร่องรอยแมลงกัดกิน

แต่ขณะนี้การพิสูจน์ด้วยตาเปล่าเช่นนั้น กลับทำไม่ได้แล้ว เพราะมีผักปลอดสารพิษของปลอมเข้ามาแพร่ระบาดและย้อมแมวขาย โดยพบว่าผู้ปลูกผักในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือจะใช้ทรายร้อนจัด สาดลงในแปลงปลูกผัก เมื่อทรายร้อนจัดถูกใบผัก ก็จะทะลุใบที่มีลักษณะเหมือนกับถูกแมลงกัดเจาะ แต่แท้ที่จริงแล้ว ผักในแปลงนั้น ก็ให้สารเคมีฉีดพ่น เพื่อฆ่าแมลง ซึ่งผู้ที่ซื้อก็คาดไม่ถึงว่า มีผักปลอดสารเคมีที่เป็นของปลอมออกมาหลอกขาย และสร้างอันตรายให้กับผู้บริโภคแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานเข้าตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยโดยด่วน ก่อนที่จะแพร่ระบาดไปมากกว่านี้ เหตุเพราะความเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภค ดังกล่าว
........................................................................................................................................
ที่มา: ไอ.เอ็น.เอ็น 30 กันยายน 2553

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน