สวัสดีครับ....ท่านผู้อ่านทุกท่าน ความรู้ในข้อกฎหมายวันนี้ว่าด้วยเรื่อง บัตรหลักและบัตรเสริม
สัญญาการใช้บัตรเครดิตระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารอนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใด ผู้ถือบัตรทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตนั้น ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวทั้งสองได้ลงลายมือชื่อรับทราบแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าทั้งสองยอมตนเข้าร่วมรับผิดในการใช้บัตรเครดิตตั้งแต่วันที่สมัคร ทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของแต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากบัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ และมีคำพิพากษาศาลฎีกาพอเป็นแนวทางได้ดังนี้
โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินเป็นจำนวน 300,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยของเงินต้นจำนวน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้หนี้และยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์ได้ทำการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทางจำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครบัตรเครดิตโดยเป็นผู้ถือบัตรหลัก จึงต้องรับผิดชอบโดยตรงในการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์ ใบสมัครในบัตรเครดิตไม่ได้ระบุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ได้มีการใช้บัตร จึงขอให้มีการยกฟ้อง ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตพร้อมกันโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือบัตรหลัก และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือบัตรเสริม และสัญญาการใช้บัตรเครดิตก็ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารอนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดผู้ถือบัตรทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรนั้น ซ่งข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมเข้าร่วมรับผิดกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในการใช้บัตรเครดิตสมาชิกบัตรหลักด้วยตั้งแต่วันสมัครเป็นสมาชิกจำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่แต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร 298 คำพิพากษาศาลที่จำเลยที่ 2 อ้างปรากฏว่าผู้ดำเนินกิจการบัตรเครดิตออกบัตรให้ผู้มาสมัครเป็นสมาชิกเป็นผู้ถือบัตรหลักแล้วต่อมาสมาชิกผู้ถือบัตรหลักจึงขอดำเนินกิจการให้อีกคนหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกและผู้ดำเนินกิจการออกบัตรเสริมให้กับคนดังกล่าว โดยไม่มีข้อความให้สมาชิกบัตรเสริมร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกับสมาชิกบัตรหลักแต่อย่างใดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับทางจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงฟังไม่ขึ้น
ในส่วนของข้อกฎหมายก็คงจบเพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านมาโดยตลอด พบกันใหม่ในครั้งต่อไปครับ