เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนจังหวัดสุรินทร์และคณะทำงานพลังงานยั่งยืนจังหวัดสุรินทร์ ได้ร่วมกันจัดเวที "คนสุรินทร์จะจัดการพลังงานอย่างไร ให้ชุมชนเป็นสุข" ขึ้น ณ ห้องประชุมศูนย์การศึกษาการเรียนรู้ตามอัธยาศัย อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากพื้นที่ตำบลต่างๆ ที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าชีวมวลของจังหวัดสุรินทร์และผู้สนใจทั่วไปประมาณ ๑๐๐ คน เนื้อหาในเวทีกล่าวถึง สถานการณ์และระบบพลังงานของประเทศไทยและทางเลือกการจัดการพลังงานในจังหวัด สุรินทร์ที่ควรจะเป็น
สันติ โชคชัยชำนาญกิจ กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือก กล่าวว่า แผนพัฒนาความต้องการไฟฟ้าหรือพีดีพีของประเทศไทยปัจจุบันนี้มีการคาดการณ์ เกินจริง จึงทำให้มีนโยบายในการพัฒนาโรงไฟฟ้าเพื่อ ให้เกิดพลังงานสำรองในประเทศมากขึ้น รวมถึงขยายระยะเวลาการคาดการณ์พลังงานจาก ๑๕ ปีเป็น ๒๐ ปี ซึ่ง เห็นว่าเป็นการคาดการณ์ที่ยาวนานเกินไป และทำให้นโยบายการขยายโรงไฟฟ้าในประเทศไทยมีสูงขึ้น รวมไปถึงพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศ ในขณะที่หลายประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นยุโรปและอเมริกา ยังประสบปัญหาการจัดการผลกระทบ ความปลอดภัย และกระบวนการผลิตจากโรงงานนิวเคลียร์ไม่ได้ แต่กฟผ.ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักก็ยังเสนอในแผนว่าจะต้องมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และพลังงานอื่นให้ได้ ซึ่งทำให้หลายพื้นที่โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคตะวันออกมีการคัดค้านจากประชาชน อย่างหนัก ในพื้นที่ภาคอีสานมีการประกาศแล้ว ๑ พื้นที่ คือจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาข้อมูลของกลุ่มพบ ว่า แม้ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า จำนวนโรงไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้าในประเทศในปัจจุบันก็ยังสูงกว่าความต้องการและ สูงกว่าปริมาณไฟฟ้าสำรองของประเทศ เพราะฉะนั้นการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอาจจะไม่จำเป็นสำหรับในประเทศไทย
วิจิต รา ชูสกุล ตัวแทนคณะทำงานพลังงานยั่งยืน กล่าวว่า สถานการณ์พลังงานในจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้กระแสพลังงานทางเลือก ทำให้มีกลุ่มทุนท้องถิ่นได้ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกมากขึ้น ปัจจุบันในจังหวัดสุรินทร์มีโรงไฟฟ้าชีวมวลแล้วจำนวน ๒ แห่ง คือ โรงไฟฟ้ากรีนพาวเวอร์ ต.บุฤาษีของกลุ่มทุนโรงสีข้าวมุ่งเจริญพร โดยใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงหลักและโรงไฟฟ้าสุรินทร์จำกัดของโรงงานน้ำตาล จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าชีวมวลอีกจำนวน ๔ แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ๑ แห่งกำลังยื่นขอใบอนุญาตจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้ามุ่งเจริญพร แห่งที่ ๒ จำนวน ๑๗ เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าสุรินทร์ไบโอพาวเวอร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ๙.๙ เมกะวัตต์ , โรงไฟฟ้าสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ๙.๙ เมกะวัตต์ , โรงไฟฟ้า อ.รัตนบุรี . จ.สุรินทร์ จำนวน ๐.๙ เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ จำนวน ๓.๑๕ เมกะวัตต์ โดยคาดว่าปริมาณไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าทั้งหมดจะผลิตได้ประมาณ ๘๐.๗๕ เมกะวัตต์
โดย ความคืบหน้าของการดำเนินการโรงไฟฟ้าในแต่ละแห่ง มีความแตกต่างกัน และในระดับพื้นที่ก็ทางเจ้าของโรงไฟฟ้าก็ได้จัดเวทีประชาพิจารณ์ต่อชุมชนไป แล้วเป็นส่วนใหญ่และมีแนวโน้มว่าจะสามารถตั้งโรงไฟฟ้าได้ครบทั้ง ๗ แห่ง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า การจัดการพลังงานได้เข้าไปอยู่มือของกลุ่มทุนท้องถิ่นแล้ว ท่ามกลางการเปิดนโยบายให้เอกชนสามารถลงทุนในกิจการพลังงานของรัฐได้ แต่ปัญหาในระดับพื้นที่จากโรงไฟฟ้า ๒ แห่ง ก็ยังมี มากมายทั้งเรื่องผลกระทบทางอากาศ ที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองในน้ำดื่มและเสื้อผ้าที่ตากไว้นอกบ้าน เป็นต้น เมื่อมีโรงไฟฟ้ามากมายขนาดนี้แล้วคนสุรินทร์จะร่วมกันจัดการพลังงานอย่างไร
ตัว แทนชุมชนกันตร็วจสมวล อ.ปราสาท กล่าวว่า ฟังข้อมูลด้านพลังงานแล้ว ก็คิดหนัก เพราะไม่รู้ว่าจะหาทางออกหรือหาความสุขได้อย่างไร โรงไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ดูชื่อเจ้าของแล้วก็หนักใจเพราะเป็นผู้มีชื่อเสียงในจังหวัดทั้งนั้น การกำกับติดตามปัญหาผลกระทบที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ยาก และปรากฏการณ์ที่เกิดในพื้นที่ขณะนี้คือ ป่าไม้ต่างๆลดลงมาก หากโรงไฟฟ้าเกิดขึ้นจริง การเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ก็เป็นเรื่องยากมาก
ตัว แทนตำบลในเขตรัตนบุรี กล่าวว่า ในขณะนี้ชาวบ้านและอบต.ในพื้นที่ยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับโรง ไฟฟ้าเลย รู้แต่ว่าจะผลิตไฟจำนวน ๐.๙ เมกะวัตต์โดยใช้แกลบ แต่ผมประเมินว่า แกลบในเขตตอำเภอรัตนบุรีคงใช้ได้เพียง ๓ เดือน แต่พื้นที่ของตำบลมีป่ายูคาและป่าธรรมชาติเป็นจำนวนมาก เกรงว่า ต่อไปคงทำให้ป่าและต้นไม้ที่ชาวบ้านพึ่งต่อสู้กับรัฐจนได้สิทธิคืนมานั้น ต้องสูญหายไปกับโรงไฟฟ้าอย่างแน่นอน และในระดับตำบลก็ต้องข้อมูลความชัดเจนทั้งด้านลบและด้านบวกมากกว่านี้
โดย ในเวทีได้มีการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการเสนอทางออกในการจัดการพลังงาน ท่ามกลางความกังวลใจของภาคประชาชน โดยมีข้อเสนอสำคัญๆคือ ในระดับพื้นที่ต้องมีปฏิบัติการพลังงานชุมชนทางเลือกทั้งระดับครอบครัว เช่น การผลิตไฟฟ้าหรือแก๊สจากชีวภาพจริงๆ เช่น มูลสัตว์ หรือมูลคน หรือปฏิบัติการเกษตรอินทรีย์เพื่อยืนยันในพลังงานทางเลือกของระดับครัวเรือน ระดับชุมชนคือ การคิดค้นการจัดทำโรงไฟฟ้าของชุมชน อาจจะบริหารงานโดยองค์กรท้องถิ่นหรือการจัดการในนามสหกรณ์ชุมชนในการจัดตั้ง โรงไฟฟ้าของชุมชนเองได้ ระดับนโยบายได้มีการเสนอให้มีเครือข่ายประชาชนและเครือข่ายคณะทำงานติดตาม กำกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อให้โรงไฟฟ้ามีการปรับปรุงระบบและประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าและมีการผลัก ดันเชิงนโยบายเกี่ยวกับไฟฟ้าให้เหมาะสมร่วมกัน การกระจายข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าให้คนในจังหวัดสุรินทร์ ได้รับรู้มากขึ้น
ขณะนี้จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่กำลังจะมีโรงไฟฟ้าชีวมวลมากที่สุดในภาคอีสาน และ โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่มีกำลังการผลิตไม่ถึง ๑๐ เมกะวัตต์ มีขนาดเพียง ๙.๙ เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้ไม่ต้องมีการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทำให้ไม่มีมาตรการที่แน่ชัดในการเตรียมการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต ซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบในระยะยาวต่อประชาชนในพื้นที่ และต่อไปคำขวัญจังหวัดสุรินทร์ที่ว่า "สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ปะคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม" อาจจะต้องต่อท้าย "มากล้ำโรงไฟฟ้า" ก็เป็นได้