ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “สารี” นำทีมผู้บริโภคทวงคืนสมบัติแผ่นดินจาก ปตท. ยื่นคำร้องให้ศาลปกครองสูงสุดไต่สวนกรณี ปตท. คืนทรัพย์สินแผ่นดินให้รัฐไม่ครบ ยังเหลืออีกกว่า 189,715 ล้านบาท แฉพฤติกรรมหมกเม็ด ปตท. ทำเพิกเฉยไม่ส่งคืนทรัพย์สินตามการตรวจสอบของ สตง. กว่า 3.2 หมื่นล้าน
วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานศาลปกครองสูงสุด กรุงเทพฯ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมด้วย นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ผู้ฟ้องคดีที่ ๔ เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม เข้ายื่นหนังสือคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ให้เปิดไต่สวนกรณี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกทรัพย์สินคืนแก่แผ่นดินไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาศาล โดย ปตท. ได้ทำการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนแก่แผ่นดินเพียง 16,176 ล้านบาท ยังเหลือทรัพย์สินแผ่นดินที่ไม่ได้โอนคืนอีกกว่า 189,715 ล้านบาท
จากกรณีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดในการแปลงสภาพ ปตท. ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวก รวม 5 คน ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 ให้แบ่งแยกทรัพย์สินของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ในส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมและอำนาจมหาชนของรัฐ จากปตท. คืนให้แก่รัฐนั้น
นางสาวสารี กล่าวว่า ทรัพย์สินซึ่งบริษัท ปตท. ได้แบ่งแยกคืนให้แก่แผ่นดินเมื่อเดือนธันวาคม 2551 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 16,176.22 ล้านบาท ประกอบด้วย ที่ดินเวนคืน 1.42 ล้านบาท สิทธิการใช้ที่ดิน 1,124.11 ล้านบาทและระบบท่อก๊าซธรรมชาติในที่ดินเวนคืนและที่ดินรอนสิทธิ 3 โครงการอีก 15,050.69 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยก่อนที่จะมีแปรรูปมา เป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ในวันที่ 1 ตุลาคม 2544 ซึ่งการโอนคืนทรัพย์สินของปตท.จำนวนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการตรวจสอบของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่บริษัทปตท. ยังต้องคืนทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 32,613 ล้านบาท
นอก จากนั้น จากการตรวจสอบเพิ่มเติมขององค์กรผู้บริโภค พบว่า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากการแปรรูปบริษัทปตท.ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2544 นั้น ไม่มีการโอนคืนแต่อย่างใด ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 157,102 ล้านบาท โดยทรัพย์สินทั้งหมดนี้ได้มาด้วยการใช้อำนาจมหาชนซึ่ง ปตท. จะต้องคืนให้แก่รัฐตามคำพิพากษาของศาลเช่นกัน
ทั้ง นี้ ทรัพย์สินที่ต้องคืนให้กับกระทรวงการคลัง แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มแรกทรัพย์สินที่ได้มาก่อนการแปรรูปที่ใช้ที่ดินราชการและที่สาธารณะ ได้แก่ แนวท่อส่งก๊าซที่อยู่ในที่ดินทางหลวงและในทะเลมูลค่ารวม 32,613 ล้านบาท (ตามการตรวจสอบของสตง.)
กลุ่มที่สอง คือ ทรัพย์สินหลังการแปรรูปกิจการในโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติกว่า 10 โครงการ มูลค่า 157,102 ล้านบาท ได้แก่ การรอนสิทธิที่ดินเอกชนในการวางระบบท่อก๊าซหลังการแปรรูป คือ ท่อก๊าซเส้นระยอง-บางปะกง ,บางประกง-วังน้อย ,วังน้อย-แก่งคอย ,ไทรน้อย-พระนครใต้/เหนือ ไทย-มาเลเซีย รวมถึงระบบท่อส่งก๊าซทั้งที่อยู่ในทะเลและในเขตทางหลวงที่ก่อสร้างหลังการ แปรรูป อาทิ เช่น ท่อเส้นที่ 3 ท่อแยกไปราชบุรี ท่อแยกไปทับสะแก ท่อไทย-มาเลเซีย รวมทรัพย์สินทั้งสองกลุ่มเท่ากับ 189,715 ล้านบาท” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
นาง สาว สารี กล่าวย้ำว่า เหตุที่ทรัพย์สินที่ได้มาหลังการแปรรูปของ ปตท. ถือเป็นของแผ่นดินเพราะว่าหลังแปรรูป ปตท.ยังใช้อำนาจมหาชน ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐเพื่อการรอนสิทธิที่ดิน ใช้ที่ดินราชการ และที่สาธารณะเพื่อประโยชน์ของบริษัทปตท.
- ผู้จัดการออนไลน์ 4/3/52