ผู้บริโภค ฟ้อง กขค. กรณีอนุญาตควบรวม ซีพี - เทสโก้ อาจขัดกฎหมาย

15032021 News CP

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศฟ้องคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กรณีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ซีพี - เทสโก้ อาจขัดต่อกฎหมาย

          จากกรณีที่ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 3 อนุญาตให้บริษัทซีพี รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ควบรวมธุรกิจกับบริษัทเทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 โดยให้เหตุผลว่าการรวมธุรกิจทำให้มีอำนาจตลาดเพิ่มแต่ไม่ผูกขาด และจำเป็นต้องควบรวมตามควรทางธุรกิจ ทำให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภค สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลุ่มผู้ค้ารายย่อย เครือข่ายเกษตร นักวิชาการ
และภาคส่วนต่าง ๆ ได้ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการอนุญาตดังกล่าวนั้น

          วันนี้ (15 มีนาคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครอง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ 37 องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วประเทศ ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และ สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า กรณีมีมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ซีพี - เทสโก้ อาจขัดกฎหมาย ในประเด็นสำคัญ ดังนี้

          1) มติการรวมธุรกิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย

1.1) ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง กล่าวคือไม่ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไป จึงเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย เนื่องจากการอนุญาตดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ในห่วงโซ่อุปทานตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นการทั่วไป ซึ่งกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

1.2) การกำหนดกรอบในการลงมติของคณะกรรมการเป็นการกำหนดกรอบที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยทั่วไปการลงมติ ต้องมีมติในประการแรกก่อน ว่าเห็นควรให้มีการควบรวมธุรกิจหรือไม่ หากมีมติให้รวมได้ คณะกรรมการจะต้องร่วมพิจารณาเงื่อนไขทางโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใดมีอำนาจเหนือตลาด แต่การลงมติครั้งนี้กลับมีเงื่อนไขว่าคณะกรรมการที่ลงมติไม่เห็นชอบ จะไม่มีสิทธิกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างและเงื่อนไขเชิงพฤติกรรม จึงเป็นการกำหนดเงื่อนไขการลงมติที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและไม่ให้สิทธิกรรมการโดยเท่าเทียมกัน

1.3) ไม่เปิดเผยรายชื่อคณะอนุกรรมการที่พิจารณาคำขออนุญาต ซึ่งอนุกรรมการบางคนอาจเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้ขออนุญาตหรือไม่

1.4) การใช้ดุลยพินิจที่ไม่เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ไม่รอบคอบ และ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

          หนึ่ง ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์และหลักการสำคัญที่มุ่งเน้นกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้มีแข่งขันทางการค้ามากที่สุดภายใต้หลักเสรีและเป็นธรรม

          สอง ไม่มีความจำเป็นทางธุรกิจ หรือ เป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจไม่ได้มีความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ตรงกันข้ามกลับมีส่วนแบ่งในตลาดสูงถึงร้อยละ 69.3 ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดอยู่แล้วเพราะมีส่วนแบ่งเกินร้อยละ 50 ขึ้นไป และเมื่อควบรวมแล้วจะทำให้มีอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83.97 จึงถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจอย่างชัดเจน

          สาม จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เป็นการกินรวบ เพราะการรวมธุรกิจมีโอกาสทำให้เกิดการผูกขาดสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะวิกฤตในสังคม เช่น น้ำท่วม หรือ โรคโควิด-19 ที่อาจได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม หากราคาสินค้าถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจเหนือตลาด

          สี่ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยรวม เมื่อจำนวนผู้แข่งขันในตลาดลดลง ผู้บริโภคย่อมมีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อยลง โดยเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีอย่างน้อย 5 จังหวัดที่เดิมผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจมีส่วนแบ่งตลาดเกือบร้อยละ 100 อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้อาจเป็นช่องทางให้มีการกำหนดราคาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มบริษัทผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจ และหากในอนาคตมีการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ต้นทุนสูง ผู้บริโภคอาจตกเป็นผู้รับภาระต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ห้า ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตสินค้าและวัตถุดิบ การควบรวมทำให้ผู้ขออนุญาตรวมธุรกิจเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ทำให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิตที่เป็น SMEs ผู้ผลิตสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง มีโอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบจากการกำหนดเงื่อนไขทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม หรือ อาจจำยอมต้องรับเงื่อนไขโดยไร้ข้อต่อรอง

          หก ทำให้คู่แข่งทางธุรกิจรายเดิมหรือรายใหม่เข้าสู่ตลาดยากขึ้น จนต้องเลิกทำธุรกิจในที่สุด ส่งผลให้ผู้ขอรวมธุรกิจอาจเป็นผู้ประกอบธุรกิจเพียงรายเดียวในตลาด ทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคน้อยลง และยังเป็นการทำลายธุรกิจคู่แข่งในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการในธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจขนาดเล็กในตลาดค้าปลีกค้าส่ง

          เจ็ด ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง ในขณะที่เงื่อนไขเชิงพฤติกรรมก็อาจบังคับได้ยากหรือไม่ได้เลย โดยเงื่อนไขแต่ละข้อขัดแย้งกันเองและมีกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินสมควร

          2) เป็นมติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ขัดกับ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ขัดต่อเจตนารมณ์ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 และขัดกับวัตถุประสงค์และพันธกิจของสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า มติดังกล่าวมีผลผูกพันให้มีการรวมธุรกิจของผู้ได้รับอนุญาต ซึ่งจะกลายเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย และ การบังคับใช้กฎหมายทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงหรือประเภทเดียวกันในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งอาจยังเป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นอาศัยเป็นข้ออ้างเพื่อควบรวมธุรกิจ สู่การมีอำนาจเหนือตลาดเช่นเดียวกันได้

          ผู้ฟ้องคดีจึงขอให้ศาลไต่สวนคำร้อง และ ขอให้ศาลมีคำสั่ง กำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราว โดยมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ ของบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ก่อนชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น

          ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาดังนี้

  • ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าที่อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจในตลาดค้าส่ง ค้าปลีกระหว่างบริษัท ซีพีฯ กับ บริษัท เทสโก้ฯ
  • หากศาลไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนมติดุงกล่าวตามข้อ 1 ขอให้ศาลกำหนดเงือนไขเชิงโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาดตลาดสินค้าอุปโภค บริโภค ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ คือ

2.1  ให้บริษัท ซีพีฯ กับบริษัท เทสโก้ฯ ขายกิจการหรือทรัพย์สินบางส่วนที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคออกไปเพื่อไม่ให้อำนาจเหนือตลาดอันเป็นการผูกกขาดได้

2.2  ห้ามบริษัท ซีพีฯ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นภายในเวลา 10 ปี ภายหลังการร่วมธุรกิจแล้ว

2.3  ให้เพิ่มเงื่อนไขด้านระยะเวลาจากเดิมที่คณะกรรมการเสียงข้างมากกำหนดไว้โดยขยายเวลาจากเดิม 5 ปี เป็น 10 ปี และจากเดิม 2 ปี เป็น 5 ปี

          ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองหรือบรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการรวมธุรกิจค้าส่งค้าปีกสมัยใหม่ของบริษัท ซีพีฯ และ บริษัท เทสโก้ฯ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพากษาถึงที่สุด

Tags: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มพบ., ซีพี, เทสโก้, คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า, กขค., ผูกขาด, มีอำนาจเหนือตลาดแต่ไม่ผูกขาดทางการค้า

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน