"ผมเคยเขียนลง fb ขอบคุณลุงตู่ที่สัญญาว่า จะไม่เลิกระบบบัตรทอง และให้ข้อมูลด้วยความเคารพเรื่องความกังวลที่ประชาชนมีต่อการแก้กฎหมายบัตรทองในครั้งนี้ ในสองเรื่องหลักคือ
1) การเพิ่มกรรมการบอร์ดที่เป็นฝ่ายผู้ให้บริการเข้าไป7คนและขณะเดียวกันลดตัวแทนองค์กรปกครองส่วนทัองถิ่นลง ทำให้กรรมการบอร์ดเอียงไปทางฝ่ายผู้ให้บริการ ซึ่งประชาชนเกรงว่าการพิจารณาจะเอียงไปทางให้ประโยชน์ต่อสถานบริการ ได้งบประมาณไปแล้วจะให้บริการน้อยเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ให้บริการ ขัดต่อหลักการสำคัญคือ Provider-Perchaser Split ที่กฎหมายเดิมกำหนดไว้ดีแล้ว
2) แยกเงินเดือนออกมาจากงบประมาณรายหัว ยกไปให้กระทรวงสาธารณสุขบริหาร แทนที่จะให้ไปตามที่อยู่ของประชาชน จะทำให้ผู้ให้บริการมากองอยู่ในเมืองใหญ่ๆจนล้น แต่คนในชนบทขาดแคลน จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งกฎหมายเดิมได้ป้องกันเอาไว้ดีแล้ว
การแก้กฎหมายที่ใช้งานมานาน 15 ปีใหัทันสมัยเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่จำเป็นต้องคงหลักการดีๆเอาไว้
โครงการบัตรทองเริ่มที่กระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่พรรคการเมือง แต่ต้องให้การเมืองเคาะ ไม่ใช่ประชานิยม แต่ให้สิทธิประชาชนผู้เสียภาษี ทำให้ครัวเรือนล้มละลายจากการรักษายามป่วยรุนแรงลดลงเหลือ 2.3% (ยังล้มละลายอยู่)
ประชาชนประท้วงในการทำประชาพิจารณ์กฎหมายที่จะแก้เพราะไม่พอใจในขบวนการที่ทำ ไม่ยอมให้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในข้อกังวลหลักๆที่เขามีอยู่
ประชาชนรู้เรื่องกฎหมายบัตรทองดี เพราะกฎหมายฉบับนี้ประชาชนมีส่วนร่วมมาแต่ต้น ข้าราชการบางคนอาจรู้เรื่องนี้น้อยกว่าเขา เพราะความจำเป็นต้องมี และคุณค่าของกฎหมายต่อคนที่อยู่คนละชั้นต่างกันมาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องของชีวิต ของครอบครัว ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง การเมืองไม่เกี่ยวครับ แทนที่จะส่งทหารตำรวจไปกดดันประชาชน น่าจะไปพิจารณาร่างกฎหมายเสียใหม่ และทำกระบวนการประชาพิจารณ์ให้เหมาะสมจะดีกว่ามากครับ"
จากใจ นพ.มงคล ณ สงขลา
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
18 มิ.ย.60
ภาพประกอบจาก มติชน