บริการสุขภาพ

นักศึกษาแพทย์ให้ความเห็น มายาคติแห่งวิวาทะแพทย์-ผู้เสียหายทางสาธารณสุข

Consumerthai - 31 ก.ค. นักศึกษาแพทย์ นามปากกา "ขุมทรัพย์เพชร." ให้ความเห็นใน Blog oknation ของตนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ......ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ขณะนี้ว่า คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการออกมา ปะทะกันรอบล่าสุดของกลุ่มองค์กรวิชาชีพสาธารณสุขที่นำโดยแพทย์ กับกลุ่มเครือข่ายผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุขถือว่ารุนแรงและส่ง ผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างโดยเฉพาะในประเด็นของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขพ.ศ......


ร่าง พระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดจากเจตนารมณ์ที่ดีในการที่จะช่วยเหลือผู้ได้รับ ความเสียหายให้ได้รับการชดเชยที่เหมาะสม ลดการฟ้องร้องแพทย์และเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง “หมอ” กับ “คนไข้” ที่กำลังถูกถ่างให้กว้างขึ้นทุกทีโดยคนหลายกลุ่มทั้งที่รู้และรู้เท่าไม่ถึงการณ์


ต้น เรื่องคือความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่มาจากการที่เกิดความเสียหายกับคนไข้ขึ้นมา แล้วหมอไม่ได้อธิบายหรืออธิบายได้ไม่ดีพอ แล้วเกิดคดีความฟ้องร้อง คราวนี้ต่างฝ่ายก็มีกองเชียร์เข้ามาช่วยสนับสนุน ฝ่ายหนึ่งก็เป็นสภาวิชาชีพที่เล่นผิดบทบาท ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นกลุ่มNGOsที่เจ็บปวดมาเหมือนๆกัน ต่อสู้กันไปต่อสู้กันมา ๓ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง สุดท้ายไม่ว่าผลเป็นยังไงก็เจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ทั้ง หมอที่รักษาคนไข้เองก็เกิดอาการท้อ-น้อยใจ- หมดกำลังใจ-หวาดระแวงในการทำงานเพื่อคนไข้คนอื่นๆต่อ ส่วนผู้ป่วยก็รู้สึกแย่ต่อหมอทั้งๆที่ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดความสูญเสียขึ้น ส่วนกองเชียร์ทั้งสองฝ่ายก็เตรียมไปห้ำหั่นกันในเวทีต่อไป

 

อย่าง เหตุการณ์ประท้วงร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณ สุขพ.ศ......เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคมที่ผ่านมานี่ทำให้ผมมองเห็นอะไรได้หลายๆอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของกลุ่มสมาพันธ์แพทย์รพศ./รพท.แห่งประเทศไทย ในครั้งนี้

 

อย่าง แรกคือตัวแทนของสมาพันธ์ที่ออกมาเรียกร้องวันนี้หลายๆคนไม่ได้อ่านร่างพรบ. อย่างถึ่ถ้วนเลยด้วยซ้ำ สังเกตจากการตอบคำถามในวงสนทนาต่างๆที่มักจะแสดงออกกันไปคนละเรื่องกับคำถาม ในแถลงการณ์ต่างๆที่สมาพันธ์แห่งนี้ออกมาก็คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและมี อคติต่อร่างฉบับนี้อย่างมาก  ผลที่ตามมาก็คือได้มี การสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวขึ้นในหมู่แพทย์ พยาบาล เภสัชกร...จนเกิดการล่ารายชื่อมาคัดค้านร่างพรบ.ฉบับนี้สมใจผู้ชักใยอยู่ เบื้องหลังสมาพันธ์ไปเต็มๆ

 

มายาคติแรก มีผู้พยายามบอกว่าพรบ.ฉบับนี้จะทำให้เกิดการฟ้องร้องหมออย่างกว้างขวางอย่าง ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน(คุ้นๆเหมือนตอนมีมาตรา ๔๑ใหม่ๆไหมครับ) แล้วก็จะมีการเอาหมอติดคุก ทำให้กำลังใจในการทำงานหดหายไป ทั้งที่ความจริงแล้วพรบ.ฉบับนี้ไม่เกี่ยวกับหมอเลยสักนิด เขาตราขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการรับบริการ หมอไม่ถูกฟ้องอาญาจากพรบ.ฉบับนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพรบ.นี้เขาก็ฟ้องอาญาหมอได้อยู่แล้วตามประมวล กฎหมายอาญาซึ่งมีมาก่อนแล้ว

 

มายาคติที่สอง มีการปลุกระดมถึงการที่ไม่มีตัวแทนสภาวิชาชีพเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ มีแต่NGOsกับ คนที่ไม่ได้ตรวจคนไข้มารุมหมอ แล้วการตัดสินก็ใช้เสียงข้างมากโดยไม่พิสูจน์ถูกผิดอีก ถามว่าทำไมถึงไม่ให้มีตัวแทนสภาวิชาชีพก็เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดความทับ ซ้อนกันระหว่างคณะกรรมการนี้กับการไต่สวนของสภาวิชาชีพ เพราะกองทุนนี้ตั้งมาเพื่อช่วยเหลือคนไข้ที่ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่วงที่จะมาเอาผิดใคร เป็นการช่วยเหลือตามมนุษยธรรมด้วยจิตใจของมนุษย์โดยมโนสำนึกว่าผู้เสียหายคน นี้ควรได้รับเงินช่วยเหลือหรือไม่อย่างไร โดยไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ เหมือนอย่างกรณีที่แพ้ยาแล้วตาบอดถามว่าแพทย์ผิดไหมที่ให้ยาตัวนี้ก็ไม่ผิด เพราะแพทย์ไม่รู้ว่าคนๆนี้จะแพ้ยาอะไรล่วงหน้าได้ แต่ถามว่าได้เกิดความเสียหายต่อชีวิตของเขาไหม เขาจะอยู่ต่อไปอย่างไร ครอบครัวเขาจะทำอย่างไร ตรงนี้หมอตอบไม่ได้ หมอก็จะคิดว่าเป็นความซวยหรือกรรมของคนไข้เองที่แพ้ยาตัวนี้ ทีนี้ก็เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นมากลายเป็นปัญหาลุกลามต่อไป

ถามว่าเวลาขับรถแล้วเราไปชนรถคันหน้าที่เบรกกระทันหันเนี่ยบริษัทประกันจ่ายเงินให้เราไหม?? 


มายาคติที่สาม
ที่ทุกคนกลัวกันมากที่สุดคือการถูกถอนใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม การออกจากราชการและการติดคุกซึ่งเป็นโทษจากกฎหมายอื่นทั้งสิ้น กฎหมายฉบับนี้ไม่มีการระบุโทษดังกล่าวไว้เลย!! เป็นแต่เพียงการปรุงแต่งจากคนบางกลุ่มเท่านั้นที่บอกว่าจะมีคนเอาผลจากการ ตัดสินชี้ขาดของคณะกรรมการตามพรบ.นี้ไปขยายผลฟ้องอาญาต่อ ซึ่งถือว่าไกลจากตัวกฎหมายฉบับนี้มาก เพราะขั้นตอนคือการฟ้องอาญาàศาลตัดสินจำคุกàออกจากราชการàแพทยสภาตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนàเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นขั้นตอนปกติเหมือนตอนยังไม่มีพรบ.ฉบับนี้  แล้วกฎหมายฉบับนี้ช่วยแพทย์โดยศาลสามารถนำหลักฐานการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนมาพิจารณาเพื่อที่จะไม่ลงโทษหรือลดโทษให้อีกก็ได้ในกรณีที่ศาลเห็นว่าแพทย์มีความผิด

 

กรณี ร่อนพิบูลย์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่าความจริงเขาก็ไม่ได้ อยากฟ้องแต่คนในสภาวิชาชีพเองต่างหากที่ไปยุให้แพทย์ไม่ไปงานศพ ไม่ขอโทษ ไม่ช่วยเหลือตามมนุษยธรรม โศกนาฏกรรมที่สภาวิชาชีพเอาไปฉายซ้ำสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวและสร้าง บาดแผลให้วงการแพทย์จึงเกิดขึ้น

 

บาง ครั้งหมอก็ควรมองความเดือดร้อนของคนไข้บ้างว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่คิดเพียงแต่ว่าพวกนี้อยากได้เงิน อยากเอาหมอติดคุก อยากให้หมอคนนี้ถูกยึดใบประกอบฯ มิเช่นนั้นระยะห่างของหมอกับคนไข้จะถูกถ่างออกไปอีก จากผู้ให้ไปสู่ผู้รับกลายเป็นพ่อค้ากับลูกค้า

 

บอก ตรงๆครับผมในฐานะนักเรียนแพทย์คนนึงรู้สึกสลดใจที่เห็นหมอ พยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร นักกายภาพบำบัดออกมาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ เพียงแต่ฟังๆเขาเล่ากันมา เอาขี้ปากเขามาพูดสร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวกัน ภาพพวกพี่ๆที่ออกมาวันนี้ในสายตาชาวบ้านดูไม่ดีเลยครับ

ผม ไม่อยากให้เรื่องวันนี้จบแค่การออกมาแสดงพลังโก้ๆของแต่ละฝ่าย ทั้งสองฝ่ายควรย้อนกลับไปรวบรวมข้อมูลหลักฐานและข้อเสนอแนะต่อร่างพรบ.ฉบับ นี้แล้วมาคุยกันใหม่โดยปราศจากอคติ คิดถึงใจเขาใจเรา อย่าคิดถึงตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว ผมไม่อยากให้สังคมสาธารณสุขของเราไม่ฟังกันแบบเหลืองกับแดงที่มีความคิดฝัง หัวโดยไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก แล้วมาเจอใหม่ในรัฐสภาตอนแปรญัตติดีกว่าครับ


 

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน