ประธานวิป ให้โอกาสเครือข่ายภาคประชาชนเสนอข้อมูลให้คณะกรรมการวิปรัฐบาลวันจันทร์นี้เพื่อทบทวนมติชะลอกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายฯตามที่คณะกรรมการวิปรัฐบาลได้ให้ข่าวจะชะลอการการพิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข อ้างให้กระทรวงสาธารณสุขเคลียร์ทุกฝ่ายให้ลงตัวก่อน

วันนี้(14 ต.ค.)เวลา 12.10 น. ตัวแทนภาคประชาชนได้เข้าพบนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล โดยมีคุณถวิล ไพรสณฑ์  คณะกรรมการวิปรัฐบาล และ ดร.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมประชุม พร้อมเสนอให้ประธานวิปทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และเสนอให้เดินหน้าพิจารณาให้ทันในสมัยประชุมนี้

โดยนายวิทยา แก้วภราดัย ได้เสนอให้ตัวแทนประชาชน จำนวน 8 คน เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมการวิปรัฐบาล ในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ เวลา 11.00 น. โดยจะเชิญตัวแทนแพทย์ที่มีความเห็นต่างเข้าร่วมประชุมด้วย

นอกจากนี้ตัวแทนภาคประชาชนหวังว่า ตัวแทนแพทย์ที่คัดค้านจะเข้าร่วมประชุมด้วยในวันจันทร์นี้ เพื่อหาทางออกร่วมกันและสนับสนุนให้สามารถเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ เพราะที่ผ่านมาแพทย์ที่คัดค้าน ยังไม่เคยบอกกับสาธารณชน ว่า จะให้มีการแก้ไขอย่างไรในประเด็นสำคัญของกฎหมาย เช่น ความหมายของความเสียหายตามาตรา 5 และ 6 หรือคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบวิชาชีพในสัดส่วนที่เป็นธรรมกับประชาชนหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นต้น พร้อมยืนยันกฎหมายฉบับนี้ทุกคนได้ประโยชน์ และคาดว่าจะมีการใช้งบประมาณจำนวน 530 ล้านบาทในปีที่ 1 จากการคาดการณ์ของนักวิชาการที่ได้เสนอข้อมูลเรื่องนี้ให้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้มากในระดับหมื่นล้านอย่างที่ฝ่ายคัดค้านได้เสนอ พร้อมยืนยันโรงพยาบาลรัฐ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่งไม่ต้องจ่ายเองแต่รัฐจ่ายสมทบแทน และให้กระทรวงสาธารณสุข สอบถามแพทย์ที่คัดค้านจากสถานพยาบาลของรัฐคัดค้านเพราะอะไร หากไม่ใช่รักษาผลประโยชน์โรงพยาบาลเอกชน

ภาคประชาชนเห็นว่า ความคาดหวังของวิปรัฐบาลที่จะให้กระทรวงสาธารณสุขเคลียร์ทุกฝ่ายให้ลงตัวก่อนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  เพราะที่ผ่านมาจากการจัดประชุมร่วมของสองฝ่ายที่กระทรวงสาธารณสุขจัดขึ้น  แพทย์ที่คัดค้านก็มีพฤติกรรมที่ไม่เข้าร่วมมาตลอด    ไม่ได้มีเจตนาที่จะเคลียร์ให้ได้กฎหมายที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน แต่เจตนาที่แท้จริงคือการยกเลิกกฎหมายตามที่ผู้คัดค้านประกาศมาโดยตลอด  ดังนั้นการเดินหน้ากฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันให้ฝั่งผู้คัดค้านต้องหันมาพูดคุยถึงสาระของกฎหมายแทน