กลุ่มผู้ป่วย องค์กรผู้บริโภค ร่วมมือบอยคอยไม่เข้าร่วมเวทีสัมมนา รับฟังความคิดเห็นเรื่อง ร่างระราชบัญญัติเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในระบบบริการสาธารณสุข เหตุจัดเวทีไม่เป็นธรรม ไม่มีสัดส่วนผู้เสียหาย ผู้ป่วย องค์กรผู้บริโภคได้ชี้แจง และมีเวลารับฟังความคิดเห็นเพียง ๓๐ นาทีในช่วงสุดท้าย พร้อมเสนอให้รัฐมนตรีนั่งเป็นประธานจัดอีกรอบให้มีทุกกลุ่มเข้าร่วม
Consumerthai – (27 พ.ค.52) เครือข่ายประชาชนผู้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย (ร่าง) พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ.... ประกอบด้วย เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ชมรมผู้ป่วยโรคไต เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ซึ่งได้ร่วมกันผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อชดเชยผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ลดการฟ้องร้องระหว่างแพทย์และคนไข้ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานระบบบริการสาธารณสุขในประเทศไทย
โดยที่รัฐบาลนี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และร่างพระราชบัญญัติของรัฐบาลได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กฎหมายดังกล่าวได้ถูกปรับเปลี่ยนหลักการและสาระสำคัญหลายประการ อาทิเช่น
1. เปลี่ยนแปลงชื่อกฎหมาย
จาก “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ” เป็น ”ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในระบบบริการสาธารณสุข พ.ศ. ...” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์และหลักการของร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีแล้ว จากเดิมที่มุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย เป็นมุ่งเน้นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ โดยลดทอนความสำคัญของการชดเชยความเสียหายลงไป
2.เพิ่มขั้นตอนการไกล่เกลี่ย
หลักการดำเนินการเดิมมุ่งเน้นการชดเชยความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับเพิ่มกระบวนการไกล่เกลี่ย
3.ปรับให้สำนักงานอยู่ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข
ตามร่างเดิมเสนอให้มีสำนักงานคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข แต่ได้มีการปรับแก้ในร่างใหม่ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเป็นสำนักงานเลขานุการ
จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีฐานะเป็นผู้ให้บริการและเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายในหลายกรณี จึงไม่อยู่ในฐานะที่เป็นกลาง และไม่ได้รับการยอมรับจากเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ นอกจากนี้ กรมสนับสนุนบริการยังไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายตลอดจนขาดประสบการณ์และบุคลากรที่มีความสามารถในการบริหารกองทุน หากจะยึดแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรีควรกำหนดให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสำนักงานเลขานุการไปพลางก่อน เนื่องจากมีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากการให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนมีฐานะเป็นผู้ซื้อบริการมิใช่ผู้ให้บริการ และสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการหรือพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจหน้าที่ ดังเช่นที่ต้องดำเนินการกรณีกำหนดให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเป็นสำนักงานเลขานุการ
4.ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคณะกรรมการจ่ายเงินชดเชยความเสียหาย
ได้ปรับแก้องค์ประกอบให้มีสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันพบว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นอุปสรรคในการพิจารณาการชดเชยความเสียหายและทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นที่เป็นธรรม
บทบาทที่สำคัญของคณะกรรมการ คือการพิจารณาว่าความเสียหายเกิดจากการรับบริการสาธารณสุขจริงหรือไม่ เพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยไม่ต้องพิจารณาว่ามีผู้ใดต้องรับผิดหรือไม่ เพื่อให้การชดเชยเป็นไปโดยรวดเร็วและเป็นธรรม ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กระบวนการพิสูจน์ความรับผิดซึ่งใช้ระยะเวลานาน และไม่เกี่ยวพันกับการสอบสวนหรือลงโทษโดยสภาวิชาชีพ ดังนั้นองค์ประกอบของคณะกรรมการจึงไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แทนจากสมาคมวิชาชีพหรือสภาวิชาชีพ แต่ต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละวิชาชีพที่ได้รับการยอมรับจากสังคม และองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมีผู้ที่มีผลงานด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม
5.สิทธิกรณีผู้เสียหายฟ้องคดีต่อศาล
ตามร่างเดิมหากผู้เสียหายหรือทายาทฟ้องคดีต่อศาล ให้ยกเลิกการพิจารณาคำร้อง แต่ในร่างใหม่ปรับแก้เป็นให้ยุติการดำเนินการและตัดสิทธิที่จะยื่นคำขอตามพระราชบัญญัตินี้อีก และเพิ่มเติมในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ให้บริการสาธารณสุขชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้พิจารณาว่าจะจ่ายเงินจากกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้แทนผู้ถูกฟ้องคดีหรือไม่
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลาขาธิการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวกว่า การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นในวันนี้ ควรจะได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็น แลกเปลี่ยนและหาข้อสรุปในสาระสำคัญของกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะร่างเดิมของทั้งกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายประชาชนผู้มีสิทธิเสนอกฎหมายไม่ได้แตกต่างกันในหลักการและสาระสำคัญ แต่การจัดสัมมนาในครั้งนี้ กลับดำเนินการตั้งประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน รวมทั้งสะท้อนความไม่เป็นธรรมในกำหนดการจัดสัมมนาเป็นอย่างดี โอกาสในการพูดที่ไม่เท่าเทียม การแสดงความเห็นของกลุ่มที่ขัดแย้งเห็นได้จาก มีเวลาที่จำกัดในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพียง ๓๐ นาทีก่อนการปิดการประชุม จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่ประธานในการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอีกครั้ง และกลุ่มผู้ป่วย องค์กรผู้บริโภค ยินดีเข้าร่วมสัมมนาการรับฟังความคิดเห็นเรื่องนี้