คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจเลือกโดยสารรถสาธารณะ จากการบอกกันเล่าปากต่อปากถึงคุณภาพการบริการของบริษัทรถ    ความสุภาพของพนักงานบริการ สภาพรถสะอาด และความสะดวกสบายร้อยแปดประการ แต่น้อยคนนักที่จะคิดด้านความปลอดภัย    และคิดจะตรวจสอบบริษัทรถโดยสารด้วยตัวเอง  จากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ภายใต้โครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ พบว่าตั้งแต่ 1 มกราคม -- 30 พฤศจิกายน 2552 มีการเกิดอุบัติเหตุของรถโดยสารสาธารณะที่รายงานผ่านสื่อมวลชนถึง 156 กรณี มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมเกือบ 2 พันราย เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ 1,616 ราย และเสียชีวิต 164 ราย ทั้งนี้เกิดขึ้นจากรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง จากสถิติของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคพบว่า มีผู้บริโภคขอให้ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้ประกอบการ 54 ราย และที่ฟ้องร้องเป็นคดีมี 89 ราย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด
"ความไม่รู้" คือสาเหตุหลักของปัญหาการใช้สิทธิของผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบผู้ประกอบการรถโดยสาร เพราะนอกจากจะไม่ได้รับความปลอดภัยแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็มักจะไม่ได้รับการเยียวยาจากผู้ประกอบการ แต่ถูกผลักภาระไปที่บริษัทประกัน ความสูญเสียของผู้บริโภคถูกตีค่าเป็นเพียงค่ารักษาพยาบาล และค่าสินไหมทดแทนในวงเงินที่จำกัดเท่านั้น ความเสียหายทางครอบครัว หน้าที่การงาน และโอกาสต่างๆ ผู้บริโภคกลายมาเป็นผู้รับผิดชอบเสียเอง ดังนั้นการตระหนักรู้สิทธิของตัวเอง จึงน่าจะทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถเอาเปรียบผู้บริโภคได้
{xtypo_rounded2}สิทธิสำหรับผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
 1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสาร    รวมทั้งคำพรรณาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถโดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน    
 2. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ
 3. สิทธิในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงอันไม่เป็นธรรม    
 4. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆด้านจากการใช้บริการ 
 5. สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
 6. สิทธิในการร้องเรียน หรือฟ้องร้องเพื่อให้ได้รับการแก้ไขปัญหา เยียวยาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น    
 7. สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน    หรือสิทธิอื่นๆที่ถูกละเมิด
 8. สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิงเวลา และไม่ถูกบังคับ    กดดันให้ต้องจำยอมประนีประนอมยอมความโดยไม่เป็นธรรม 
 9. สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด    
 10. สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและผู้อื่น{/xtypo_rounded2}
 
 สิทธิมีเราต้องใช้
 การใช้สิทธิเมื่อเกิดอุบัติเหตุมีอยู่ 3 ขั้นตอน ขั้นแรกผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ    ในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล และค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต จากบริษัทประกันภัยของรถโดยสารที่เกิดเหตุ    โดยจะต้องดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายภายใน 180 วันหลังจากเกิดเหตุ พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง    ไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบันทึกประจำวันของตำรวจ    สำเนากรมธรรม์ประกัยภัยรถที่เกิดอุบัติเหตุ ในกรณีที่เสียชีวิตต้องเตรียมสำเนาใบมรณะบัตร    และสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของทายาทมาด้วย
 
 ในขั้นที่สองนั้นสามารถใช้สิทธิเรียกร้องจากกรมธรรม์ภาคสมัครใจและบริษัทรถโดยสาร    จากความเสียหายทางด้านทรัพย์สิน และค่าเสียโอกาสอื่นๆ หรือที่เราเรียกกันว่า ค่าทำขวัญ     โดยมีข้อควรระวังคือ การลงลายมือชื่อในการรับค่าสินไหมทดแทนทั้งจากบริษัทประกันและบริษัทรถยนต์    หากมีเงื่อนไขในเอกสารการรับเงินหรือข้อตกลงใดๆ ว่าผู้เสียหายยอมรับเงินโดยไม่ติดใจเอาความกับบริษัทแล้ว    จะทำให้ไม่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ในภายหลัง
 
 ขั้นสุดท้าย สิทธิการเรียกร้องทางกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค สามารถขอแบบฟอร์มได้ที่ศาล    และติดต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หรือเขียนเองโดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มจาก www.consumerthai.org    โดยฟ้องคดีได้ที่ศาลในภูมิลำเนาของผู้ประกอบการ ซึ่งจะต้องฟ้องร้องภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่ทราบความเสียหาย ในส่วนของผู้ที่ทำละเมิดโดยตรงคือ    คนขับรถและบริษัทรถ แต่ในส่วนของบริษัทประกันนั้นเราสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ภายในระยะเวลา    2 ปีนับแต่ทราบถึงความเสียหาย
พ.ร.บ.    คุ้มครองผู้ประสบภัยจารถ พ.ศ.2535 นั้นบังคับให้รถทุกคันต้องจัดให้มีความคุ้มครองด้านชีวิตและร่างกายของผู้ประสบภัยนั้น    ระบุไว้ว่าผู้เสียหายจะได้รับค่าชดเชยเบื้องตามกฎหมายภายใน 7 วัน ซึ่งกรณีบาดเจ็บนั้น    จะชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามจริงไม่ เกิน 15,000    บาท  แต่หากว่าเสียชีวิตทันที่ จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ    35,000 บาท หรือเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาลจะได้รับการชดใช้ทั้งเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพรวมกันไม่เกิน    50,000 บาท 
 
 แต่ถ้าหากว่าค่าเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือชีวิตเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น    ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจารถ พ.ศ.2535 แล้ว บริษัทประกันภัยรถที่เป็นฝ่ายผิดจะชดใช้เพิ่มเติมจากค่าเสียหายเบื้องต้น    ให้ภายหลังจากที่มีการพิสูจน์ความรับผิดตามกฎหมายแล้ว ส่วนกรณีที่บาดเจ็บ จะต้องชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลตามความเป็นจริง    รวมแล้วไม่เกิน 50,000 บาท หรือหากเสียชีวิต    หรือสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ รวมแล้วจำนวน 100,000 บาท และนั่นคือสิทธิตามกฎหมายที่ผู้ประสบภัยรจะได้รับ
 
 นอกจากความไม่รู้ อีกสาเหตุหนึ่งของปัญหาการใช้สิทธิ คือ ผู้เสียหายไม่มีทรัพยากรเพียงพอ    ในกรณีที่จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาล ทั้งความเชี่ยวชาญในด้านการเขียนคำฟ้อง    การหาพยายาน หรือแม้แต่ทนายความ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ความพยายามใช้สิทธิของผู้เสียหายลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
 
 การใช้สิทธิผ่านช่องทางการร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค    จึงน่าจะช่วยลดภาระต่างๆ ให้กับผู้เสียหายได้ หากมีข้อสงสัย หรือมีปัญหาในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย    หรือผู้ประกอบการรถโดยสาร ก็สามารถขอคำปรึกษา หรือขอให้มูลนิธิช่วยเจรจาต่อรอง    หรือฟ้องร้องค่าเสียหายแทนได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
 
 
จากกรณีของ    นายธีรเมธ บัวเข้ม ต้องสูญเสียภรรยา และใบหูข้างซ้ายไปในอุบัติเหตุรถปรับอากาศประจำทาง    นครราชสีมา-กรุงเทพฯ บริษัทราชสีมาทัวร์ ชนกับรถกระบะ และรถปรับอากาศอีกคันหนึ่งของบริษัทเดียวกัน    เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 หลังจากได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์แล้ว    บริษัทรถโดยสารได้ยื่นข้อเสนอชดเชยการบาดเจ็บและการสูญเสียภรรยา 300,000 บาท ซึ่งเทียบไม่ได้กับความสูญเสียของเขา    และลูกสาววัยเพียง 8 ขวบ ที่ต้องสูญเสียแม่ตลอดชีวิต
 
 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงแจ้งให้เขาทราบถึงสิทธิของตัวเอง ภายหลังเขาจึงตัดสินใจฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อบริษัทรถโดยสาร    ผ่านความช่วยเหลือของศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน    13,307,672 บาท
 
 "ใจผมนะอยากให้มีกฎหมายออกมาเลย อย่างรถคันนี้ เกิดอุบัติเหตุจ่ายที่นั่งละเท่าไร    บาดเจ็บจ่ายเท่าไร ไม่ต้องให้เราไปคอยตาม ไปเรียนรู้เองจากประสบการณ์จริง คือมันไม่ใช่ไง    เหตุการณ์แบบนี้มันไม่น่าเกิด"
 
 ตอนนี้โครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ พยายามกระตุ้นให้ผู้บริโภคตื่นตัวกับการใช้สิทธิในการใช้รถโดยสารสาธารณะ    โดยมีการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งจัดทำชุดคู่มือนักเดินทาง    "รถโดยสาร ปลอดภัย" แจกให้ผู้บริโภคที่ต้องใช้รถโดยสาร    ภายในมีสิทธิควรรู้ทั้ง 10 ประการ ข้อมูลการติดต่อมูลนิธิฯ และบันทึกการเดินทาง    ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการบันทึกจะนำมาจัดอับดับรถโดยสารยอดเยี่ยม-ยอดแย่ เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณชนอีกด้วย
 
 รถโดยสารปลอดภัยเราเลือกนั่งได้
 แม้จะมีกระบวนการเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม อันเกิดจากความเสียหายหลังได้รับอุบัติเหตุ    แต่การป้องกันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีที่สุด สำหรับข้อแนะนำในการขึ้นรถโดยสารทุกครั้ง    คือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้บริการรถโดยสารสองชั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านจุดสมดุล    รถโดยสารที่ดีต้องมีส่วนที่เป็นโครงเหล็กมากกว่ากระจก บนรถต้องมีเข็มขัดนิรภัย    ถังดับเพลิง หรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย เบาะที่นั่งต้องยึดติดมั่นคง และมีเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อศูนย์บริการได้
 
 การช่วยกันดูแลสอดส่องการให้บริการของรถโดยสารสาธารณะ เรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ยามเมื่อเกิดอุบัติเหตุ    นอกจากจะทำเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริโภคเองแล้ว ยังเป็นการช่วยกระดับคุณภาพการบริการโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานสากลอีกด้วย
อ่านเรื่องที่เกีียวข้อง
>> โครงการส่งเสริมสนับสนุนผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
