เปิดตัวคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ผ่านเวทีสาธารณะ "๑๕ ปี ที่ผลักดันองค์การอิสระ เมื่อไม่มีกฎหมาย ผู้บริโภคควรทำอะไร" ในวันศุกร์ที่ ๓๐ พ.ย. ๕๕ ณ โรงแรมที เค พาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพ ฯ โดยมี ผู้เข้าร่วมประมาณ ๑๐๐ คน ประกอบด้วยตัวแทนองค์กรผู้บริโภค ๗๒ จังหวัด (ภาคีเครือข่าย) แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพและหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(ปคบ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล กรรมการ องค์การอิสระฯ ในฐานะผู้แทนเขต กล่าวว่า จากการที่เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคได้ร่วมกันรณรงค์ผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มาเป็นเวลากว่า ๑๕ ปี ตั้งแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ.๒๕๔๐ ถึงฉบับปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็ยังไม่คลอดออกมา และมีท่าทีจะทำให้เป็นกฎหมายที่พิกลพิกาลทำงานไม่ได้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคจึงได้ร่วมกันจัดให้มีคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อ การคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จากการคัดเลือกกันเอง ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพราะปัจจุบันผู้บริโภคยังประสบปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคซ้ำซากที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย ไม่ว่าความไม่ปลอดภัยจากการโดยสารรถสาธารณะต่างๆ การเอาเปรียบผู้บริโภคจากการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ความเหลื่อมล้ำของบริการสุขภาพหลายมาตรฐาน ความไม่รับผิดชอบของผู้ให้บริการฟิตเนสจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก
ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ กรรมการองค์การผู้บริโภคฯ ในฐานะผู้เชียวชาญด้านการเงิน การธนาคาร กล่าวว่า จากการพิจารณาเรื่องร้องเรียนในรอบปีที่ผ่านมา พบว่าเรื่องที่ร้องเรียนกว่าร้อยละ ๘๐ กระจุกตัวที่ ๓ เรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการใช้บริการการเงิน ว่ามีอัตราค่าบริการที่สูงเกินควร หรือ มีการเก็บค่าบริการในอัตราที่ไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้า เช่นในกรณีของการเก็บค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากตู้ ATM หรือค่าธรรมเนียมในการติดตามหนี้ซึ่งบางรายแจ้งว่าสูงถึง ๒,๐๐๐ บาท ในประเด็นนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมในการใช้บริการทุกครั้งก่อนที่จะมี การใช้บริการ เช่น ในกรณีของการถอนเงิน ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี หรือ โอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นต้น มิฉะนั้นแล้ว ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะปฏิเสธที่จะจ่าย นอกจากนี้แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยควรส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันในการกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับบริการทางการเงินต่างๆ ที่แตกต่างกัน โดยการยกเลิกอัตราเพดานของค่า ธรรมเนียมซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ผู้ประกอบการใช้ในการกำหนดค่าธรรมเนียม ร่วมกันโดยไม่ผิดกฎหมายแข่งขันทางการค้า
เรื่องที่สองที่มีการร้องเรียนเข้ามามากคือ กรณีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรือ เงินผ่อนของ non-bank ที่สูงเกินควร ในประเด็นนี้ ควรมีการพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีการกำหนดอัตราเพดานของเงินผ่อนเหล่านี้หรือไม่ แต่อย่างน้อย ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำหนดให้มีการโฆษณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เนื่องจากธุรกิจที่ให้บริการผ่อนชำระค่าสินค้าหลายแห่งมีการคำนวณดอกเบี้ยจากวงเงินต้นตลอดระยะเวลาการผ่อน แม้ในทางปฏิบัติได้มีการจ่ายเงินต้นไปบางส่วนแล้วจากงวดการชำระ ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงกว่าที่โฆษณาและที่แจ้งให้ลูกค้าทราบอย่างมาก จึงถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค
เรื่องที่สาม คือ การทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรมเป็น ผู้ร้องเรียนหลายรายแจ้งว่าถูกข่มขู่ หรือถูกประจานโดยผู้ที่ทวงหนี้โทรไปที่ทำงาน ในประเด็นนี้รัฐบาลควรผลักดันให้ร่าง พ.ร.บ. การติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม พ.ศ. .... ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อที่แก้ไขปัญหา อนึ่ง ปัญหาดังกล่าวส่วนมากเกิดจากการที่ผู้ร้องเรียนผิดนัดในการชำระหนี้บัตรเครดิต ซึ่งสะท้อนว่าสังคมไทยมีปัญหาในการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเกินความสามารถในการจ่าย ทั้ง นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาแนวทางในการกำกับวงเงินบัตรเครดิตเพื่อให้สอด คล้องกับขีดความสามารถในการจ่ายของผู้ถือบัตรมากขึ้น
ผศ.ประสาท มีแต้ม ในฐานะกรรมการองค์การอิสระฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านด้านบริการสาธารณะ กล่าวถึงปัญหาด้านพลังงานในมิติการที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคทั้งทางตรงและ ทางอ้อมที่ผู้บริโภคต้องรับภาระอย่างไม่เป็นธรรม จากข้อเท็จจริงเราพบว่าค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของคนไทยนั้นสูงมากเมื่อเทียบ กับรายได้ที่ได้รับ คือ ในปี ๒๕๕๔ ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูงถึง ๑๙ % ของจีดีพี ในขณะที่เมื่อ ๒๕ ปีก่อนอยู่แค่ร้อยละ ๗เท่านั้น ดังนั้นแนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคตอาจจะสูงมากกว่านี้อีก ขณะเดียวกันเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี ๕๐ ได้กำหนดไว้ว่าให้ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งก็คือพลังงานที่ได้จากดวงอาทิตย์ เช่น แสงแดด ลม ชีวมวล ซึ่งใช้แล้วไม่มีวันหมด แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ตอบสนองเจตนารมณ์ตามนั้น แต่กลับสนับสนุนให้กลุ่มพ่อค้าพลังงานฟอสซิลซึ่งได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินซึ่งสามารถผูกขาดและรวมศูนย์ได้ง่าย พลังงานฟอสซิลไม่เพียงแต่มีน้อย ราคาแพงขึ้นทุกขณะเท่านั้น แต่ยังได้สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศน์ และมีการจ้างงานจำนวนน้อย ฯลฯ ดังนั้น สิ่งที่ต้องเร่งรณรงค์ให้ผู้บริโภคได้ตระหนักและมีความเข้าใจมากขึ้น คือ ให้รัฐทำตามนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน และ แก้กฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการไฟฟ้าซึ่งมีสาระสำคัญเพียง ๓ ข้อ คือ ๑) ให้ประชานชนทั่วไปที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ให้สามารถขายไฟฟ้าได้ก่อนผู้อื่น ๒) ไม่มีระบบมีโควต้าและไม่จำกัดจำนวน เป็นสัญญาระยะยาว ๒๐-๒๕ ปี และ ๓) ค่าใช้จ่ายที่อาจสูงขึ้นบ้างต้องถือว่าภาระของผู้บริโภคทุกคน นอกจากนี้ ผศ.ประสาท ยังเสริมว่า ต้องมีการแก้ไข พรบ. ปิโตรเลียม ๒๕๑๔ ซึ่งล้าสมัย ไม่มีธรรมาภิบาลและเอื้อประโยชน์ให้บริษัทรับสัมปทานมากเกินไป กล่าวคือผลประโยชน์ที่รัฐไทยได้รับอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
นางสาวสุรีรัตน์ ตรีมรรคา กรรมการองค์กรผู้บริโภค ฯ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสุขภาพ กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพของสังคมไทยยังมีปัญหาในเรื่องมาตรฐาน และความเท่าเทียมกัน ในสังคม เช่น ผู้ประกันตนในประกันสังคมต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง แล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์การบริการสุขภาพที่ด้อยกว่าคนกลุ่มอื่นที่ไม่ต้องจ่าย ซึ่งเป็นความไม่เป็นธรรม และไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติฯ ไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุข ที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน” จึงมีข้อเสนอประเด็น ดังนี้
๑. ให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบบริหารจัดการการเงินการคลังเพื่อหลักประกันสุขภาพ สำหรับประชาชนทุกคน
๒. ให้รัฐบาลดำเนินการให้สำนักงานประกันสังคมยกเลิกการเก็บเงินจากผู้ประกันตนในส่วนค่ารักษาพยาบาล โดยนำเงินสมทบแต่ละเดือนจากผู้ประกันตนและนายจ้าง ไปสมทบในกองทุนบำนาญชราภาพและการชดเชยการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในฐานะพลเมืองที่อาศัย ทำงาน จ่ายภาษีในสังคมไทย ให้มีหลักประกันสุขภาพที่เป็นธรรม ครอบคลุม มีมาตรฐานและคุณภาพเดียวกัน
นางรัศมี วิศทเวทย์ ใน ฐานะกรรมการองค์การอิสระฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าและบริการทั่วไป กล่าวถึงกรณีปัญหาผู้บริโภคจากสินค้าและบริการทั่วไปว่า กรณีรูปธรรมสองเรื่อง คือ ปัญหาการยกเลิกการนำเข้าและการผลิตสินค้าที่มีแร่ใยหินตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ ยังไม่สามารถดำเนินการได้จริง และหน่วยงานหลักที่มีอำนาจกำหนดการห้ามนำเข้าแร่ใยหินและการห้ามหรือควบคุม การผลิตสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน คือกระทรวงอุตสาหกรรม กลับย้อนไปจ้างมหาวิทยาลัยทำงานวิจัยในเรื่องดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่แร่ใยหินถูกห้ามใช้ในหลายประเทศ รวมทั้งมีคำเตือนจากองค์การอนามัยโลกแล้ว ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งเยื่อหุ้มปอดและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องสร้างทางเลือกให้ตัวเองโดยไม่สนับสนุนสินค้าที่มีแร่ใยหิน เป็นส่วนประกอบ เพื่อไม่เพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพตน แต่ที่สำคัญต้องช่วยผลักดันให้ยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหินโดยพลังของผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งผลักดันองค์การอิสระเพื่อการ คุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อเป็นกลไกในการทำสร้างความเข้มแข็ง ให้ผู้บริโภค
ขณะที่ปัญหาการใช้บริการสถานออกกำลังกายบริษัทแคลิฟอร์เนียฟิตเนส ว้าว เอ็กพีเรียนซ์ ที่ปิดกิจการหลายสาขา และละเมิดสิทธิผู้บริโภคนั้น คณะกรรมการฯ ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้เสียหาย และหวังว่า ดีเอสไอจะรับเรื่องนี้ไว้เป็นคดีพิเศษ และผู้บริโภคต้องเท่าทันว่า การทำสัญญาออกกำลังกายควรทำระยะสั้น และบริษัทจะทำสัญญาเกินหนึ่งปีไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย และจากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า ธุรกิจบริการฟิตเนส มีมาตรการทางกฎหมายควบคุมการเอารัดเอาเปรียบ และดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค ดังนั้น คณะกรรมการฯ กำลังจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ในฐานะกรรมการองค์การอิสระฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ และประธาน คอคป. ได้กล่าวว่า จากสารพันปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภค คณะกรรมการฯจึงจัดให้มีการ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับองค์กรผู้บริโภคขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือของการทำงานของเครือข่ายผู้บริโภคเพื่อจัดการกับปัญหา ต่างๆ อย่างเป็นระบบ ดังนั้น กระบวนการจัดทำและการได้มาซึ่งยุทธศาสตร์ตามหลักวิชาการและการมีส่วนร่วมที่ แท้จริงของเครือข่ายผู้บริโภคจึงมีความสำคัญ ท่านอาจารย์เดือนเด่น จากทีดีอาร์ไอ จึงเป็นแม่งานที่สำคัญของงานนี้ และเวทีวันนี้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้วิพากษ์ (ร่าง) แผนนี้
วิสัยทัศน์ของงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค คือ การให้ “ ผู้บริโภคไทยรู้สิทธิที่ตนพึงมีพึงได้ และได้รับการคุ้มครองสิทธินั้น ๆ ” โดยมีพันธกิจสำคัญ คือ ๑) สร้างความเข้มแข็งแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับสิทธิที่ตนพึงมีพึงได้ ๒) ผลักดันให้รัฐมีนโยบาย กฎหมาย หรือ มาตรการในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ๓) แก้ไขหรือเยียวยาปัญหาของผู้บริโภคโดยองค์กรภาคประชาชน สามารถเติมเต็มงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคได้ ทั้งนี้ในแต่ละภารกิจได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์, กลยุทธ์/วิธีการ แยกตามสาขา, ดัชนีชี้วัดผลการดำเนินงาน แยกเป็นดัชนี ผลผลิต (output) และผลลัพธ์ (outcome)