น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่า กลยุทธ์การต่อรองราคายาระดับชาตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพียงแค่ตั้งคณะกรรมการต่อรองราคายาระดับชาติ แล้วให้ รพ.ต่างๆ ไปจัดซื้อตามราคานี้ ตัวอย่างการต่อรองราคาวัคซีนเอชพีวี (HPV) หรือวัคซีนมะเร็งปากมดลูกเป็นตัวอย่างชัดเจนที่แสดงถึงความล้มเหลวของเรื่องนี้ นั่นคือ ก่อนการต่อรองราคายาผู้บริหารตั้งแต่ รองนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการวัคซีน ต่างออกมาให้ข่าวว่าจะนำวัคซีนเอชพีวีเข้าอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ ทั้งที่เทคนิคการต่อรองราคายาและเวชภัณฑ์ที่มีสิทธิบัตรนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า ยาและวัคซีนที่ยังติดสิทธิบัตร ทำให้ตลาดถูกผูกขาดโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กรณีนี้ตลาดเป็นของผู้ขาย ผู้ซื้อทำได้แต่ตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ซึ่งเป็นอำนาจต่อรองเดียวที่มีอยู่ หากบริษัทไม่ยอมลดลงในระดับที่ต้องการ คณะอนุกรรมการฯ จะไม่ยอมรับรายการยาหรือวัคซีนนั้นๆ เข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ ส่งผลให้ผู้ขาย ขายได้เฉพาะผู้ที่สามารถจ่ายได้เองหรือผู้ที่มีสิทธิสวัสดิการข้าราชการเท่านั้น
ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้ใช้กลยุทธ์นี้ในการต่อรองราคายาและวัคซีนที่มีการผูกขาดตลาดเพื่อให้ได้ราคาที่ต่ำที่สุด ดังนั้น หากผู้บริหาร สธ.สั่งให้แยกการพิจารณายาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติออกจากกลไกการต่อรองราคา อาวุธชิ้นเดียวที่มีอยู่เพื่อใช้ต่อรองราคายาก็หมดไปทันที บริษัทยาจะลดราคาไปทำไม ในเมื่อเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว ยังไงรัฐก็ต้องให้สิทธิประโยชน์นี้กับประชาชน จะขายราคาเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับการต่อรองราคาวัคซีนเอชพีวี หรือ HPV ที่ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ
น.ส.กรรณิการ์ กล่าวต่อว่า เมื่อให้ข่าวว่าจะบรรจุวัคซีนเอชพีวีในบัญชียาหลักแน่นอน ตั้งแต่ก่อนการเจรจาต่อรองราคาวัคซีนดังกล่าวจะเกิดขึ้น จนเป็นเหตุให้ราคาวัคซีนของ 2 บริษัทไม่ลดลงมามากเท่าที่ควร จนกระทั่งบริษัทที่แพ้การประกวดราคาตัดสินใจล้มกระดาน ด้วยการทุ่มตลาด ลดราคาลงมาอีก เพราะรู้แล้วว่าผู้ชนะเสนอราคาเท่าไร และด้วยความกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ขายของ ทั้งที่ในการแข่งขันประกวดราคาในตอนแรกบริษัทเดียวกันนี้ประกาศว่าขอให้การประกวดราคาครั้งนั้นป็นที่สิ้นสุด
“ที่ผู้บริหาร สธ. อ้างว่าประหยัดไป 37 ล้านบาทนั้น จริงๆ แล้ว หากไม่มีการแทรกแซงนโยบายวัคซีนตั้งแต่ต้น คือ กรมควบคุมโรคและคณะกรรมการวัคซีนไม่ออกมาประกาศให้ฉีดวัคซีนนี้ ระหว่างการเจรจาต่อรองราคาโดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ มีความเป็นไปได้ที่ราคาที่คณะอนุกรรมการบัญชียาหลักฯ ต่อรองได้อาจต่ำกว่าเข็มละ 375 บาทนี้ก็ได้เพราะ Gavi (องค์กรจัดซื้อวัคซีนร่วมให้กับประเทศแถบละติน) และประเทศในแถบลาตินอเมริกาซึ่งรวยกว่าไทย ยังซื้อเพียง 150-180 บาทต่อเข็ม เรื่องนี้จึงไม่สมควรดีใจ”
น.ส.กรรณิการ์ กล่าวอีกว่า การที่เรายอมให้บริษัทที่พ่ายแพ้การต่อรองราคายาในรอบแรก มาล้มโต๊ะแบบนี้ได้ การต่อรองราคายาในอนาคตของเราคงไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ต้องไม่ลืมว่างบซื้อวัคซีน HPV ไม่กี่ร้อยล้านบาท ประหยัดได้ในครั้งนี่ไม่กี่สิบล้านบาท แต่งบซื้อยาอื่นๆ หลายพันล้านบาท หากเราเป็นบริษัทยา การต่อรองราคาครั้งหน้าคงทำเป็นพอพิธี ถ้าลดราคาลงเล็กน้อยแล้วรัฐบาลไทยตกลง บริษัทก็กำไรเยอะ หากรัฐบาลไม่เอายาเรา เราก็มาเสนอราคาใหม่ ให้ต่ำกว่าคนชนะ จะยากอะไร ในเมื่อเรารู้ราคาแล้ว
“เรื่องที่แปลกประหลาดของการต่อรองราคาวัคซีนเอชพีวีครั้งนี้ คือ ในตอนแรกที่แข่งขันกัน ได้วัคซีนที่ครอบคลุมมากกว่านั่นคือ 4 สายพันธุ์ในราคาถูกกว่า แต่ต่อมากลับคุยว่า ประหยัดงบได้มากกว่า แต่ได้วัคซีนที่ครอบคลุมแค่ 2 สายพันธุ์ ถูกกว่าตรงไหน นี่มันเป็นการเทียบกับของคนละอย่างมิใช่หรือ ที่สำคัญช่วงต้นปีนี้บริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรวัคซีนเอชพีวี 2 สายพันธุ์ได้ออกแถลงการณ์ว่าจะถอนวัคซีนเอชพีวี 2 สายพันธุ์ออกจากตลาดออสเตรเลียภายในต้นปี 61 หลังจากก่อนหน้านี้ ต.ค.59 ถอนวัคซีนชนิดเดียวกันออกจากสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลว่ามีความต้องการน้อย คือตลาดอื่นไม่มีใครใช้แล้ว แต่ไทยกำลังจะไปช่วยซื้อของที่คนอื่นไม่เอา” น.ส.กรรณิการ์ กล่าว
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล 0895003217