หลายคนคงได้ทราบข่าว ของคุณปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ที่ถูกให้ออกจากพื้นที่หน้ารัฐสภา หลังจากไปประท้วงด้วยการนอนค้างคืน ร่วมกับเพื่อนผู้เสียหายหน้ารัฐสภา เพื่อผลักดันให้รัฐบาลพิจารณากฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์ภายใน เดือนกุมภาพันธ์
กฎหมาย ฉบับนี้ เริ่มต้นเหมือนกับกระบวนการออกกฎหมายฉบับอื่น ๆ ของประเทศไทย อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มีหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน อาทิเช่น การตั้งคณะทำงานจากเพื่อยกร่างกฎหมาย และการเสนอกฎหมายโดยกระทรวงสาธารณสุขผ่านคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการไปจัดทำรายละเอียดปรับปรุงกฎหมายในชั้นสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา (ซึ่งมีทุกฝ่ายและแน่นอนตัวแทนแพทยสภาเข้าร่วมประชุมทุกครั้ง) มีการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มวิชาชีพประมาณ 300 คน ในสมัยรัฐมนตรีวิทยา แก้วภารดัย แต่เมื่อกฎหมายกำลังจะถูกพิจารณารับหลักการในชั้นสภา ผู้แทนราษฎร ได้ถูกคัดค้านจากแพทย์จำนวนหนึ่ง
กลุ่มผู้ที่คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ หยิบยกประเด็นค้านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ จะทำให้มีการฟ้องคดีอาญาแพทย์มากขึ้น แต่เมื่อมีการอธิบายว่า สาระที่เขียนไว้ในกฎหมายเป็นประโยชน์กับแพทย์ในคดีอาญา ก็ยกประเด็นการไม่มีส่วนร่วมของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่ง น่าเสียดายที่ไม่มีใครเปิดเผยรายชื่อแพทยสภา หรือแพทย์จากส่วนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุมในการทำกฎหมายฉบับนี้เป็นใครในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา [อาทิ นพ.สมศักดิ์ เจริญชัยปิยะกุล, นพ.เมธี วงศ์ศิริวรรณ ] และสุดท้ายประเด็นที่ “ขายได้” ในสังคมไทย คือ การปล่อยข่าวว่า มีผู้เสนอกฎหมายจ้องหาผลประโยชน์ในการบริหารกองทุน ทั้งที่กองทุนนี้อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข และ กรรมการเป็นเพียงกรรมการตามกฎหมายเหมือนกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากข้อเสนอของกลุ่มประชาชนผู้เสนอกฎหมายที่ต้องการให้มีการบริหาร กองทุนเป็นอิสระดีกว่าอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เพราะกระทรวงเป็นเจ้าของโรงพยาบาลจำนวนมาก จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ได้รับผลกระทบและผู้เสียหาย ข้อกล่าวหาเรื่องประชาชนผู้เสนอกฎหมายมีผลประโยชน์นอกจากจะไม่มีมูลแล้ว หากติดตามการทำงานจะเห็นผลงานของกลุ่มนี้ที่ช่วยตรวจสอบการทุจริตในสังคมมาก มายทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือแม้แต่การเทียบประวัติการทำงานของแต่ละฝ่ายกับเรื่องการหาผลประโยชน์ ไม่แน่ใจว่า ผู้กล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหากันแน่ที่ควรถูกตั้งข้อสงสัย บางคนเป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขแต่มีชื่อไปปรากฏทำงานในโรงพยาบาลเอกชน ในเวลาราชการ
เมื่อ มีความเห็นต่างในกฎหมาย ภาคประชาชนทุกฝ่ายซึ่งเดินหน้าเต็มที่เรื่องนี้ก็เห็นว่า ก็ควรให้เวลาทำความเข้าใจกฎหมาย กระบวนการทำความเข้าใจ มีหลายทางทั้งทางสาธารณะซึ่งเกิดขึ้นมาก ผ่านคณะทำงาน ไม่ยอมรับคณะทำงาน ตั้งคณะทำงานใหม่ สุดท้ายได้ข้อสรุป 12 ประเด็นที่เห็นร่วมกัน ทำ ให้แพทย์และกลุ่มวิชาชีพที่เกี่ยวข้องจำนวนมากหรือส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งเห็นได้จากการคัดเลือกกรรมการแพทยสภา ที่กลุ่มแกนนำคัดค้านอย่างหัวชนฝาไม่ได้รับการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เราไม่เห็นความกล้าหาญของผู้ประกอบวิชาชีพสายสาธารณสุขมากพอใน การออกมาสนับสนุนทั้งที่เห็นประโยชน์ ยกเว้นผู้คัดค้านซึ่งไม่ฟังเหตุฟังผลอย่างคงเส้นคงวา ไม่มีใครกล้าออกมาบอกว่าเห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ เพราะ หากใครออกมาบอกว่าเห็นด้วยก็จะโดนเล่นงานทั้งทางตรงทางอ้อมในที่ลับและในที่ แจ้ง ไม่เว้นแม้แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ถูกเล่นงานเรื่องส่วนตัว
ถึงแม้กลยุทธการถ่วงเวลากฎหมายของแพทย์กลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ คิดว่า ปัจจุบันสังคมน่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้ ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ หรือทั้งระบบประกันสังคม และสวัสดิการข้าราการ ที่ไม่มีระบบช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อมีความเสียหาย กฎหมายฉบับนี้จึงจะทำหน้าที่เป็นระบบที่ช่วยรองรับผู้ได้รับผลกระทบ หรือความผิดพลาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ยืนยันว่าอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ถอนและเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้แน่นอน คงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายต้องตัดสินใจสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ เพราะทางกลุ่มคัดค้านมีกฎหมายเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อในการเสนอกฎหมายฉบับนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งรับประกันการมีส่วนร่วมในการทำกฎหมายที่เท่าเทียมกับภาคประชาชน
ในฐานะกลุ่มภาคประชาชนที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ ขอเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร ตัดสินใจกฎหมายฉบับนี้ ว่าจะดำเนินการไปข้างหน้าหรือถอยหลัง เพื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานไทยในอนาคตที่อาจตกเป็นผู้ได้รับผล กระทบหรือเสียหายจากการบริการสาธารณสุข แล้วจนถึงขณะนั้นยังไม่มีระบบเยียวยาใดๆ หรือแม้แต่ผู้ประกอบวิชาชีพที่มีความตั้งใจในการทำงานแต่ไม่มีระบบใดมาช่วย ปกป้องพวกเขาจากความผิดพลาดซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์