นักวิชาการเสนอรัฐบาลใหม่ลดเหลื่อมล้ำ 3 กองทุน ใน 3 เรื่อง สิทธิประโยชน์-จ่ายเงินชดเชยให้โรงพยาบาลต้องเท่าเทียม และผู้ป่วยประกันสังคมต้องไม่จ่ายเงินประกันตนเหมือนอีก 2 สิทธิ พร้อมเสนอรวมสองกองทุนก่อน
นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า จากการพิจารณาพบว่า 1 ปีผ่านมา ยังไม่มีอะไรใหม่มากนักสำหรับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ จะมีแค่เรื่องนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกสิทธิ แต่ก็ทราบว่ากันดีว่ายังมีปัญหาในแง่การปฏิบัติจริง ตรงโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเก็บเงินผู้ป่วย ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบ และต้องมีการดำเนินการแก้ไขต่อไป แม้แต่เรื่องนโยบายฝากท้องฟรีทุกสิทธิก็เช่นกัน ข้อเท็จจริงฝากท้องได้ทุกสิทธิจริง แต่อัตราการจ่ายเงินของแต่ละกองทุนต้องจ่ายให้โรงพยาบาลกลับไม่เท่ากัน ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับผู้ป่วยโดยตรง แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เท่ากันในภาพของระบบการบริหารจัดการ
นพ.พงศธร กล่าวอีกว่า ปี 2557 หากจะพูดเรื่องลดความเหลื่อมล้ำการบริการสาธารณสุขคงเป็นเรื่องยาก เพราะขณะนี้มีปัญหาความไม่สงบทางการเมือง การจะเดินหน้าอะไรก็ยาก รัฐบาลก็ไม่นิ่ง แต่หากจะดำเนินการจริงๆ อยากเสนอ 3 ประเด็นไม่ว่ารัฐบาลใดมาก็ตาม คือ 1.สิทธิประโยชน์ต้องเท่าเทียมจริงๆ ทุกกองทุน ทั้งหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ 2.อัตราการจ่ายเงิน หรือการจ่ายเงินชดเชยต่างๆ ให้โรงพยาบาล ทุกสิทธิทุกกองทุนต้องเหมือนกัน และ 3.ส่วนของผู้ป่วยถ้าต้องจ่ายเงินก็ต้องจ่ายเหมือนกัน ถ้าไม่จ่ายก็ต้องไม่จ่าย คือ ผู้มีสิทธิประกันสังคม ปัจจุบันยังต้องจ่ายเงินให้กองทุน แต่ผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสวัสดิการข้าราชการกลับไม่ต้องจ่าย ตรงนี้ยังไม่เป็นธรรม หากเป็นไปได้ต้องไม่จ่ายเหมือนกันทุกกองทุน
“การ จะทำแบบนั้นได้ต้องรวม 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะจะลดความเหลื่อมล้ำแต่ละกองทุน พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ในช่วงแรกอาจใช้วิธีบริหารกองทุนสุขภาพสองกองทุนก่อนคือ กองทุนหลักประกันสุขภาพฯ และกองทุนประกันสังคม ส่วนกองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ยังมีจำนวนน้อย ให้เริ่มดำเนินการในข้าราชการล็อตใหม่ที่เข้ามาแทน ส่วนข้าราชการล็อตเก่าให้ใช้รูปแบบเดิม” นพ.พงศธร กล่าว
นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ว่า การรวม 3 กองทุนสุขภาพนั้นเป็นเรื่องในอนาคตที่รัฐบาล และผู้บริหาร สปสช.กระทรวงการคลัง และ สปส.จะต้องมาหารือกันว่าจะให้มีการรวมกันหรือไม่เพราะการมารวมกันไม่ใช่ เรื่องที่ทำได้ในเวลาอันสั้นและทำได้ง่ายๆ เพราะจะต้องเตรียมความพร้อมในหลายเรื่อง เช่น ระบบและมาตรฐานการให้บริการ งบประมาณซึ่งรัฐบาลต้องจัดสรรงบรองรับจำนวนมหาศาลทางรัฐบาลก็ต้องพิจารณาว่า พร้อมจะแบกรับภาระด้านงบประมาณหรือไม่
รวมทั้งต้องสอบถามผู้ประกันตนด้วยว่าต้องการอย่างไร
"แต่ ละกองทุนมีการจัดทำกฎหมาย วัตถุประสงค์และกระบวนการดำเนินการต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายแต่ ละกองทุน ดังนั้น การจะนำมารวมกันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ถือเป็นเรื่องระยะยาวที่รัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับทั้ง3กองทุนต้องมา ร่วมกันตัดสินใจและวางแผนเตรียมพร้อมรองรับ” นพ.สุรเดช กล่าว
น.ส.สุภัทรา นาคะผิว โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า เป้าหมายของกลุ่มคือต้องการสร้างระบบประกันสุขภาพมาตรฐานเดียว ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เชื่อว่าการรวมกองทุนประกันสุขภาพของประเทศไทยเป็นกองทุนเดียว เป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้เกิดมาตรเดียว อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง หากรวมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและประกันสังคมจะมีผู้มีสิทธิรวมกันถึง 58 ล้านคน การรวมกองทุนจึงเป็นการบริการจัดการที่เป็นการรวมศูนย์ ภายใต้หลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เนื่องจากประกันสังคม เป็นกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว อัตราการใช้บริการรักษาสุขภาพต่ำ ส่วนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีทั้งกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ที่มีการใช้บริการจำนวนมาก ทั้งนี้ เมื่อมีการรวมกองทุนแล้ว ในส่วนของสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน รัฐบาลควรจ่ายให้ด้วย ไม่ควรให้ผู้ประกันตนจ่ายสมทบเองเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเช่นเดียวกัน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่รัฐบาลจ่ายสนับสนุน
ASTVผู้จัดการออนไลน์ | 21 มกราคม 2557 |