ศิลปินแห่งชาติ แนะ 3 ทางออกกัญชาไทย แก้กม. - ขจัดสัมปทาน - ไฟเขียวชาวบ้านปลูก เชื่อ พลังประชาชนช่วยฝันเป็นจริงได้
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ที่วัดเกตุคีรี อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เครือข่ายภาคประชาชน 12 องค์กร อาทิ มูลนิธิข้าวขวัญ มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ เป็นต้น จัดเสวนาในหัวข้อ “ธรรมชาติกับการเยียวยาและพึ่งตนเอง” เพื่อให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ของกัญชาและวิธีพึ่งพาตนเองในขณะป่วยเบื้องต้น
นายวสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินร่วมสมัยดีเด่น รางวัลศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ ประจำปี 2550 กล่าวภายในงานเสวนาว่า ตนป่วยเป็นโรคหัวใจมาประมาณ 5 - 6 ปี เพื่อนจึงแนะนำให้ทดลองใช้น้ำมันกัญชาควบคู่กับทานยาที่หมอสั่ง ผลปรากฏว่าอาการดีขึ้น ส่วนเพื่อนเป็นโรคความดันโลหิตสูง ได้ทดลองใช้น้ำมันกัญชาเช่นเดียวกัน เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องไม่นานโรคดังกล่าวได้หายขาด ดังนั้นเมื่อเราได้ทดลองใช้แล้วเห็นผลจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐควรปลดปล่อยให้ประชาชนเข้าถึงกัญชา เพราะในประเทศสหรัฐอเมริกา มีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาอย่างเสรี ผู้ที่มีใบอนุญาตสามารถเข้าไปซื้อสินค้าได้ ในร้านดังกล่าวมีทั้งน้ำดื่มกัญชา ลูกอมกัญชา และทุกผลิตภัณฑ์จะระบุปริมาณและสรรพคุณอย่างชัดเจนบนฉลาก ดังนั้นถ้าหากไทยแก้ไขกฎหมายกัญชาออกจากเสพติดได้ พร้อมอนุญาตให้ประชาชนปลูกได้ ไทยจะมีอำนาจต่อรองจากต่างชาติ
“ตามหลักวิทยาศาสตร์พบว่าร่างกายของมนุษย์ได้ ถ้าได้พักผ่อนเต็มที่จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูเร็ว ความเครียดความกังวล อาการนอนไม่หลับ ล้วนเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย หากผู้ป่วยได้สิทธิเข้าถึงกัญชา กัญชาจะเป็นตัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับสนิท ทำให้เซลล์ร่างกายได้ฟื้นฟูเต็มที่” นายวสันต์กล่าว
ด้านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ กล่าวว่า เหตุผลที่ตนมาร่วมกิจกรรมเดินเพื่อผู้ป่วย เพราะเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของกัญชา โดยส่วนตัวตนป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ใช้วิธีรักษาโดยรับยากัญชาจาก อ.เดชา พร้อมฉีดยาคุมฮอร์โมน ซึ่งผลการรักษาทำให้ค่าเลือดเป็นปกติ ตนจึงคิดว่ากัญชาใช้ได้ผลและได้ติดตามข่าวสารกัญชามาโดยตลอด เพราะมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ ไทยมีงบประมาณในการซื้อคีโมปีละมากมาย นี่หรือไม่ที่เป็นสาเหตุให้ผู้รู้ไม่ยอมบอกวิธีรักษาอื่น ขณะนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวปรากฏต่อสาธารณชน ทั้งนี้กัญชามีนานแล้ว แต่ไทยไม่ได้ให้ความสำคัญมากมาย เห็นได้จากข้อความในบทกวีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ระบุถึงทหารที่พักรบต้องนำกัญชามาสูบเพื่อผ่อนคลาย
อาจารย์เนาวรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่างเช่นประเทศลาวได้เลี้ยงผึ้งให้ทำรังในดงกัญชา เพื่อเพิ่มมูลค่าน้ำผึ้งกัญชา และหนุนกัญชาให้เป็นเป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งน่าเสียดายมากที่ไทยมีต้นทุนมหาศาล มีภูมิศาสตร์เขตร้อน ที่ติด 1 ใน 7 ของโลก ซึ่งเหมาะสมกับการปลูกกัญชาที่สุดและอาจเป็นพันธ์ที่ดีที่สุดของโลก แต่ไทยไม่ลงมือทำอะไรเลย เพราะมัวห่วงแต่กฎหมายยาเสพติด ดังนั้นตนมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดจากประชาชน ถ้าประชาชนทำให้ปรากฏ รัฐบาลต้องรับฟัง ตนอยากเสนอทางออกของเรื่องดังกล่าว โดยเสนอให้ปลดล็อคกฎหมายกัญชาออกจากยาเสพติดให้ได้ พร้อมควบคุมกัญชาให้เป็นยาโดยมีงานวิจัยรองรับ และขจัดการผูกขาดสัมปทาน รวมทั้งอนุญาตให้ประชาชนปลูกได้โดยมีเงื่อนไข เชื่อว่าถ้าทำได้ ไทยจะมีข้อต่อรองกับโลกได้อย่างมหาศาล และในช่วงสุดท้ายจึงฝากบทกลอนให้กำลังใจผู้ที่ร่วมเดินรณรงค์ความว่า ‘มวลชนคือ ต้นบท ข้อกำหนดของกฎหมาย มวลชนไม่เคยตาย กฎหมายตายทุกมาตรา เดชาประชาชน เป็นกันชนให้กัญชา ยาไทยพญายา ช่วยเดชารักษาชน’