ยาชนิดนี้จะช่วยปิดกั้นสัญญาณของอาการอยากอาหารในสมอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มและอยากรับประทานอาหารน้อยลง และเอฟดีเออนุญาตให้ใช้ยาได้เฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีภาวะโรคอ้วน ที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ที่ 30 หรือมากกว่า หรือใช้ได้ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวเกิน ที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ที่ 27 หรือมากกว่า หากพวกเขามีอาการ เช่น ความดันเลือดสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และคลอเลสเตอรอลสูง
แต่ยาชนิดนี้ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์หรือสตรีที่ให้นมบุตร และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกินกว่า 12 สัปดาห์หากไม่สามารถลดน้ำหนักได้ 5% ของน้ำหนักตัว และบริษัทอารีน่ายังจำเป็นต้องทำการทดลองศึกษาอีก 6 ครั้งหลังการจำหน่ายยา เช่น การศึกษาว่ายาทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดในสมองในระยะยาวหรือไม่ คาดว่ายาจะวางจำหน่ายได้ในปีหน้า
เอฟดีเอได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น หลังยาลดน้ำหนักตัวหนึ่งเคยถูกเรียกคืนจากตลาดเมื่อปี 2550 เพราะมีผลข้างเคียงต่อลิ้นหัวใจ ขณะที่เบลวิกไม่มีผลข้างเคียงดังกล่าว แต่ก็ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ไมเกรน และความจำเสื่อมได้
การอนุมัติยาลดน้ำหนักครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากแพทย์จำนวนมาก เพราะจำนวนผู้ป่วยโรคอ้วนและผู้มีน้ำหนักตัวเกินในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว เชื่อว่ามีมากถึงเกือบสองในสามของประชากรทั้งประเทศ และเฉพาะผู้ป่วยโรคอ้วนมีมากถึง 35% ในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าการอนุมัติยาเบลวิกอาจทำให้มีการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยารายใหญ่ใน การผลิตยาลดน้ำหนักในอนาคต
ข้อมูลจาก นสพ.คมชัดลึก 29/06/55