หลังจากที่พบว่ามีการขายยาในร้านขายของชำนั้น ล่าสุด ภก.วินิต อัศวกิจวิรี ผู้อำนวยการสำนักยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงแนวทางการควบคุมการขายยาว่า จากการที่มีประชาชนร้องเรียนเรื่องปัญหาการขายยาผิดประเภทในร้านขายของชำโดย เฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้นแม้ อย.จะมีการควบคุมอย่างชัดเจนและตรวจจับเป็นประจำ รวมทั้งมีการกำหนดประเภท ชนิดของยา และมีกฎเกณฑ์ในการขายยาไว้ ก็ยังพบว่ามีปัญหาอยู่บ้าง ทั้งนี้สำหรับยาที่อย.อนุญาตให้ขายในร้านขายของชำได้ มีเพียงยาสามัญประจำบ้านเท่านั้น เพราะผ่านการพิจารณาแล้วว่า ผลกระทบที่เป็นอันตรายต่ำ ซึ่งยาประเภทดังกล่าว จะต้องเขียนไว้บนผลิตภัณฑ์ในกรอบสีเขียว ว่า ยาสามัญประจำบ้าน ส่วนยาควบคุม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยาปฏิชีวนะ จะต้องขายในร้านขายยาที่มีเภสัชกรเท่านั้น หรือ ยาควบคุมพิเศษ จะเป็นยาที่ต้องมี่ใบสั่งแพทย์เท่านั้น
ภก.วินิต กล่าวต่อว่า ขณะ นี้คณะอนุกรรมการยากำลังมีการพิจารณาทบทวนชนิดของยาสามัญประจำบ้านใหม่ และจะออกเป็นประกาศบังคับใช้ต่อไป ซึ่งขณะนี้ยาแผนปัจจุบัน ที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน มีอยู่ประมาณ 30 กว่าชนิด ส่วนยาแผนโบราณที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน มีประมาณ 25 ตำรับ การพิจารณาทบทวนชนิดของยาสามัญประจำบ้าน จะเป็นการตัดยาบางชนิดที่ปัจจุบันอาจพบว่ามีผลข้างเคียง หรือ เพิ่มยาบางชนิดที่พิสูจน์แล้วว่าไม่มีผลข้างเคียงสูง ซึ่งยาสามัญประจำบ้าน จะเป็นยาเพื่อใช้รักษาโรคทั่วๆไป เช่น วิงเวียน ปวดศรีษะ โรคทางเดินอาหารเป็นต้น คาดว่าการทบทวนดังกล่าวจะทยอยออกเป็นประกาศเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า
ผู้อำนวยการสำนักยา กล่าวด้วยว่า หากพบว่ามีการละเมิดขายยาผิดประเภทจากที่กำหนด เช่น ขายยาปฏิชีวนะ ในร้านขายของชำ จะมีความผิดฐานขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้า เป็นยาแผนปัจจุบันมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หากเป็นยาแผนโบราณ มีความผิด จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาท และหากตรวจพบว่าเป็นยาอันตรายที่ควบคุมพิเศษ จะมีการเอาผิดไปยังผู้ผลิตที่ขายยาให้แก่ร้านค้าด้วย เพราะยาเหล่านี้จะกำหนดว่าต้องขายให้แก่ผู้มีใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งอยากเตือนประชาชน ว่า หากต้องใช้ยา โดยเฉพาะการรักษาโรคที่รุนแรง เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือ เบาหวาน ความดัน ให้ซื้อยาจากร้านที่มีเภสัชกร หรือ ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
ข้อมูลจากพ นสพ.ผู้จัดการ 8 มิถุนายน 2554