สธ.เผยพบสเตียรอยด์ปลอมปน “ยาสมุนไพร” ร้อยละ 17.87

สธ.เฝ้าระวังสเตียรอยด์ใน ยาสมุนไพรเพื่อความปลอดภัยของประชาชน พบมีการปลอมปนสเตียรอยด์ในยาสมุนไพร ร้อยละ 17.87 (283 ตัวอย่าง) จากจำนวน 1,584 ตัวอย่าง โดยพบมากในยาเม็ดลูกกลอน พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการใช้ชุดทดสอบสเตียรอยด์ให้หน่วยงานและประชาชนเพื่อ สามารถนำไปตรวจสอบได้ด้วยตนเอง

นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการบริโภคยาจากสมุนไพรของผู้บริโภคที่หลงเชื่อสรรพคุณที่มีการโฆษณาเกิน จริงทำให้มีโอกาสได้รับการปลอมปนด้วยยาแผนปัจจุบัน นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ แม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีการกำกับและควบคุมการผลิตแต่ผู้ผลิตบางรายได้มีการ นำยาแผนปัจจุบันมาผสมในยาแผนโบราณเพื่อให้เกิดผลการรักษาที่รวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะยาลูกกลอนที่มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ขนาดเท่าเมล็ดพุทราไทย มีสีดำหรือสีอื่นๆ กินแล้วจะเกิดอาการตัวบวมและค่อยๆ อ้วนขึ้นแม้จะหยุดกินยาแล้วก็ตาม ส่วนมากยาเหล่านี้ซื้อมาจากผู้ขายประเภทขายตรงยาทำบุญพระแจก หรือยาผีบอก และยาที่ลักลอบเข้ามาจำหน่ายโดยทำเป็นเม็ด หรือลูกกลอน หากกินแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนจะรักษาได้ทุกโรคจริงๆเห็นผลเฉียบพลัน มีตั้งแต่แก้ปวดเมื่อยไปจนถึงรักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหัวใจ ไต เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเครือข่ายศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 14 แห่ง ได้ร่วมกับสำนักยาและวัตถุเสพติด ภายใต้โครงการวิทยาศาสตร์การแพทย์สู่ชุมชน (Com MedSci) ได้มีการรวบรวมข้อมูลผลการทดสอบตัวอย่างยาจากสมุนไพรซึ่งนำส่งจากสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และภาคเอกชน ทั่วประเทศ ส่งตรวจระหว่างปี 2551-2552 จำนวนทั้งสิ้น 1,584 ตัวอย่าง พบว่า มีการปลอมปนยาแผนปัจจุบัน จำนวน 283 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 17.87 โดยพบการปลอมปนสูงในยาจากสมุนไพรที่เป็นเม็ดลูกกลอน และยังพบว่ามียาแผนปัจจุบันปลอมปนมากกว่า 1 ชนิด สูงถึงร้อยละ 47.00 ของตัวอย่างที่ตรวจพบ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวอีกว่า ยาแผนปัจจุบันที่ตรวจพบ ได้แก่ เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) เพรดนิโซโลน (Prednisolone) แอนติฮีสตามีน (Antihistamine) ยาต้านอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ดังนั้น การนำยาแผนปัจจุบันผสมลงในยาจากสมุนไพรอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ บริโภค ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการดังกล่าว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเครือข่ายศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งได้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่เพื่อดำเนินตามกฎหมายกับผู้ผลิตยาสมุนไพรดัง กล่าวแล้ว นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการใช้ชุดทดสอบ สเตียรอยด์ที่ได้พัฒนาขึ้นให้แก่โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สถานีอนามัย และหน่วยงานอื่นๆ ที่สนใจสามารถนำไปตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองผู้บริโภคและเฝ้าระวังความปลอดภัย 

ในเบื้องต้น นายแพทย์นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับยาเดกซาเมทาโซน และเพรดนิโซโลน จัดเป็นยาแผนปัจจุบันในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์(Corticosteroid) หรือเรียกสั้นๆ ว่า สเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้เป็น“ยาควบคุมพิเศษ” ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยาเท่านั้น หากรับ ประทานยาชนิดดังกล่าวเป็นประจำอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น เกิดแผลในกระเพาะอาหารถึงขั้นกระเพาะทะลุได้ ทำให้ตัวบวม หน้าบวมกระดูกผุกร่อน เปราะแตกง่าย ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงซึ่งทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมีอาการเพิ่มขึ้น หรือต้องใช้อินซูลินมากขึ้น เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเมื่อใช้ยาเป็นเวลานานแล้วหยุดรับประทานกะทันหัน ร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้ สำหรับชุดทดสอบเบื้องต้นเพื่อตรวจหารสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนในยาสมุนไพรนั้น ผู้ที่สนใจสามารถซื้อชุดทดสอบได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ หรือที่ร้านค้าสวัสดิการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 0-2965-9745 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2553 11:36 น.

พิมพ์ อีเมล

บทความใกล้เคียงกัน