เช่าซื้อภาค 2 ผ่อนไม่ไหวจะถูกยึดของคืนไหม

แม้ว่าจะเคยเขียนเรื่องเช่าซื้อไปแล้วก็ตาม คำถามที่มักพบอยู่บ่อยครั้งก็คือ ได้ผ่อนเครื่องซักผ้าเอาไว้แล้วจ่ายต่อไม่ไหวเขาจะมายึดได้ไหม หรือ ผ่อนโน๊ตบุ๊คเอาไว้แต่ได้เอาไปขายแล้วและตอนนี้ไม่ได้ผ่อนต่อทางเจ้าหนี้บอกเป็นคดีอาญาต้องติดคุกหรือไม่ มาทำความเข้าใจกันครับ

 

สัญญาเช่าซื้อ หมายถึง การที่ลูกค้าไปเอาของ ๆ เขามาใช้ในลักษณะของการเช่าของและสัญญาว่าจะจ่ายเงินค่าสินค้านั้น ๆ โดยการผ่อนเป็นงวด ๆ พร้อมดอกเบี้ยตามข้อตกลงจนกว่าจะครบตามมูลค่าของสินค้านั้น ๆ จึงจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ขายสินค้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อได้และถ้าผู้เช่าผิดนัดชำระเจ้าของสินค้าก็ต้องไปยึดเอาของคืนมา แต่ถ้าไปยึดสินค้าแต่กลับไม่มีสินค้าให้ยึด  เนื่องจากลูกค้านำไปขาย จำนำ หรือยกให้ผู้อื่นไป ผู้ที่เป็นเจ้าของสินค้าก็สามารถฟ้องลูกค้าผู้นั้นเป็นคดีอาญาในข้อหา ยักยอกทรัพย์ ของผู้อื่นได้นั่นเองครับ

การที่ผู้เช่าซื้อจะไปยึดของที่กำลังผ่อนอยู่นั้นได้หรือไม่ ก็จะต้องไปดูในตัวของสัญญาเป็นหลักว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อหรือไม่

หากเป็นสัญญาเช่าซื้อจะต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. สัญญาที่ทำเป็นสัญญาเช่าซื้อได้นั้นจะต้องเป็นทรัพย์สินของผู้ขายสินค้ามาตั้งแต่เริ่มแรก เช่น บริษัทหัวเราะร่า
  2. คำบนหัวกระดาษของหนังสือสัญญาจะต้องเขียนคำว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น
  3. ในหนังสือสัญญาต้องมีรายละเอียดของสินค้าที่จะเช่าซื้อให้ชัดเจน

เพราะฉะนั้นสินค้าส่วนใหญ่ที่ลูกหนี้ผ่อนอยู่กับพวก NON BANK ต่าง ๆ ทุกวันนี้ส่วนมากไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นสัญญา

เป็นสัญญาเช่าซื้อ ด้วยเหตุว่าพวก NON BANK ไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้ามาตั้งแค่เริ่มแรก

มีผู้ร้องบางคนได้ถามว่า   ได้ซื้อทีวีและแอร์โดยจ่ายผ่านบัตรเครดิตแต่แล้วมีปัญหาเรื่องเงินจึงไม่ได้ชำระอยากทราบว่าเจ้าธนาคารซึ่งเป็นเจ้าของบัตรเครดิตจะมีสิทธิมายึดสินค้าจากเราได้หรือไม่

คำตอบก็คือ  การนำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นอุปโภคหรือบริโภคก็คือการยืมเงินจากทางเจ้าหนี้ให้สำรองจ่ายแทนเราไปก่อนสำหรับการซื้อสินค้านั้น ๆ ซึ่งเงินที่เรายืมมาจากเจ้าหนี้โดยการใช้บัตรเครดิตไปรูด ส่วนเราจะนำไปซื้อสินค้าอะไรก็เป็นสิทธิของเรา เจ้าหนี้จะมาทวงสินค้าที่คุณซื้อไปไม่ได้ เพราะสินค้านั้นได้ตกลงมาเป็นกรรมสิทธิของเราแล้วเพียงแต่เราต้องไปชดใช้หนี้ตามจำนวนเงินที่คุณไปยืมเขามาเท่านั้นเองครับ

พิมพ์ อีเมล