บัตรเครดิตพลังงาน

งูใหญ่ได้คืบคลานเข้ามาแล้ว และกระต่ายน้อยได้อำลาไปแล้วเช่นกัน เมื่อปีใหม่มาถึงสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมกันมาต่อเนื่องนับแต่โบราณกาลก็คือ การให้ของขวัญและให้คำอวยพร ผมจึงขอถือโอกาสนี้มอบคำอวยพรแก่ผู้อ่านทุกท่าน ขอให้มีพลานามัยแข็งแรงปราศจากโรคภัยทั้งปวง หัวเราะ ห้า ห้า ห้า ได้ตลอดทั้งปี

(ไม่ใช่เป็นบ้านะครับ) มีเงินทองไหลเข้ามามากกว่าน้ำที่ท่วมเมื่อปลายปี  ในปีนี้แม้จะไม่มีของขวัญให้แต่คำอวยพรที่ดีก็เป็นเสมือนคุณค่าทางจิตใจที่ให้ทั้งความอบอุ่นและความรัก เปรียบเสมือน บ้านที่ต้องการรั้ว ครอบครัวที่ต้องการความรัก

 

ปีใหม่นี้ในความคิดของประชาชนทุกคนเชื่อว่า อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสดใสดั่งฟ้าหลังฝน หลังจากที่ปลายปีได้สะบักสะบอมกับอุทกภัยน้ำท่วมมานานแรมเดือน และผมคิดว่าสิ่งที่ประชาชนรอคอยที่จะได้เป็นของขวัญปีใหม่ในปี พ.ศ. 2555 นี้ ไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจากการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปีนี้ให้ดีขึ้นและอยากให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคลดราคาลงมาหรือไม่ขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะถ้าไม่สามารถทำได้นอกจากจะเป็นการซ้ำเติมแก่ประชาชนโดยตรงแล้ว ความหวังที่ประชาชนมีอยู่อย่างริบหรี่ในปีใหม่นี้ก็จะดับวูบลงอย่างสิ้นเชิง

ถ้ายังคงจำกันได้เมื่อประมาณกลางปีของรัฐบาลชุดก่อนได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนโดยการคิดที่จะออกบัตรเครดิตให้กับพวกชาวนารวมไปถึงรถแท็กซี่ ซึ่งทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและชมรมหนี้บัตรเครดิตได้ผนึกกำลังแถลงต่อสื่อไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว  เพราะลำพังคนที่มีเงินเดือนประจำสูง ๆ ยังต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตนับประสาอะไรกับพวกเขาเหล่านี้ที่ต้องหาเช้ากินค่ำและไม่รู้เกี่ยวกับวิธีจัดการเรื่องของระบบการเงิน ซึ่งทำให้ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่จะตามมาคือการโดนยึดที่นาและรถแท็กซี่ซึ่งใช้ประกอบในการทำมาหากินอยู่ทุกวัน ซึ่งจะทำให้พวกเขาเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำลงไปอีก และอาจนำไปสู่วิกฤตทางครอบครัว เพราะถ้าผู้ที่เป็นหนี้บัตรเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วยแล้วโอกาสที่ครอบครัวต้องแตกแยกก็ย่อมเป็นไปได้สูง ข้อมูลที่เป็นสิ่งที่สนับสนุนในเรื่องนี้ก็คือ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทางหัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ออกมาชี้แจงว่า ปัญหาหนี้บัตรเครดิตมีผู้ที่เข้ามาร้องเรียนกับทางมูลนิธิมากเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ที่เข้ามาร้องเรียนทั้งหมด จึงถือได้ว่าเป็นดาบสองคม ส่วนมากก็จะไปไม่รอดตกเป็นหนี้ในที่สุด

ข่าวล่าสุดที่จะอดพูดถึงไม่ได้ในช่วงต้นปี คือ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ NGV กับ LPG ในวันที่ 16 มกราคม นี้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้มากที่สุดส่วนใหญ่ก็คือคนกลุ่มล่าง  โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถสาธารณะที่หาเช้ากินค่ำ โดยตอนแรกยังไม่ค่อยมีเสียงต้าน นั่นอาจเป็นเพราะ ทางรัฐบาลได้ประกาศล่วงหน้าหลายเดือน หลังจากนั้นก็ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมจึงต้องไปสนใจเรื่องน้องน้ำก่อน ถึงตอนนี้น้องน้ำเลิกกวนใจแล้ว ก็ต้องหวนมาดูอีกครั้งซึ่งอีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงวันที่ 16 มกราคม 2555 แล้ว และขณะนี้ก็มีปฏิบัติการต้านเกิดขึ้นเพราะได้ข่าวว่า เครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯและผู้ขับขี่รถสาธารระได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ยับยั้งการปรับขึ้นราคาก๊าซทั้งสองไว้ก่อน โดยได้ยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ คือ

1. ทบทวนการขี้นราคา ไม่ขี้นราคาภายใน 1 ปี คือปี 2555

2.หลัง 1 ปีหากจะขึ้นราคาขอให้ทางเครือข่ายมีส่วนร่วม

3. ข้อเสนอดังกล่าวต้องเห็นผลภายในธันวาคมนี้

4. ต้องมีสถานีก๊าซเพียงพอกับความต้องการ

ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดโครงการเกี่ยวกับบัตรเครดิตพลังงาน เพื่อเป็นส่วนลดก๊าซ NGV ให้กับทางกลุ่ม แท็กซี่ รถตู้  รถโดยสารและสามล้อ แต่เปิดโครงการไม่ทันไรก็ต้องเจอกับอุปสรรคเพราะมีแท็กซี่เข้าไปลงทะเบียนไม่ถึง 10,000 คัน

โดยที่สาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินบัตรเครดิตชำระค่าก๊าซแทนเงินสด จำนวน 3,000 บาท ต่อคนต่อเดือน และจ่ายเงินสดเองอีก 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปไม่สามารถแบ่งเบาภาระได้ ควรที่จะกำหนดเป็น 9,000 บาทต่อคนต่อเดือน เพราะค่าใช้จ่ายก๊าซ NGV ต่อเดือน ตกอยู่ประมาณ 10,000 บาท ซึ่งเฉลี่ยวันละ 300-400 ต่อวัน    นอกจากนี้การลงทะเบียนจะต้องเป็นผู้ที่มีใบขับขี่สาธารณะ ซึ่งขณะนี้มีไม่ถึง 40 % จากผู้ขับขี่ทั้งหมด 130,000 คน  ที่เหลือจึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

เพราะฉะนั้นการขึ้นราคาพลังงานทั้งก๊าซและน้ำมัน จึงกลายเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งจะมีผลตามมาโดยทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้ประชาชนจะไม่อยากได้แต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะประชาชนชาวไทยมีสิทธิแค่เลือกเท่านั้น ไม่มีสิทธิอย่างอื่นที่ดีไปกว่านี้หรอกครับ

พิมพ์ อีเมล