ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีผู้เข้ามาทำการร้องเรียนและปรึกษาเกี่ยวกับ บัตรเครดิตหาย มากพอสมควร เรื่องเด่นสัปดาห์นี้จึงขอหยิบยกขึ้นมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันและมีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายในเรื่องนี้ โดยเรื่องนี้เป็นเคสของ คุณจักรพันธ์ วนสุนทรวงศ์ ซึ่งได้ทำบัตรหายในงาน Commart Thailand และมีคนนำบัตรเครดิตที่ลักมาไปรูดซื้อสินค้าและทางธนาคารได้ให้ทางคุณจักรพันธ์ ชำระหนี้ที่เกิดขึ้น
ในการใช้บัตรเครดิตไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ด้วยการลักมาจากผู้ถือบัตรแล้วนำไปปลอมลายมือชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตให้เหมือนลายมือชื่อที่ปรากฏทางด้านหลัง พนักงานร้านค้าที่รับบัตรจะต้องตรวจสอบดูว่า ลายมือชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตในขณะนั้นเหมือนลายมือชื่อในบัตรหรือไม่ ถ้าลายมือชื่อของทั้งสองแตกต่างกัน พนักงานของร้านค้าจะต้องปฏิเสธการชำระหนี้ด้วยบัตรเครดิตดังกล่าว และหากพนักงานไม่ตรวจลายมือชื่อหรือตรวจแล้วมีความแตกต่าง แต่ทางพนักงานก็ยังคงรับอยู่ก็ต้องถือว่า เป็นการกระทำโดยประมาท ซึ่งทางร้านก็จะต้องรับผิดด้วย
และในกรณีที่บัตรเครดิตหายและได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้ทางธนาคารเพื่อยกเลิกบัตรเครดิต เมื่อมีบุคคลอื่นนำบัตรไปใช้ซื้อสินค้าก่อนมีการแจ้งยกเลิก ผู้ถือบัตรย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบของตนได้ แต่ถ้ามีการใช้บัตรเครดิตนั้นซื้อสินค้าหลังมีการแจ้งยกเลิก ผู้ถือบัตรเครดิตนั้นไม่จำต้องรับผิดชอบจากการใช้บัตรเครดิตนั้น
บางคนอาจจะถามว่าในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนใช้บัตร ทำไมเราต้องรับผิดในมูลหนี้ที่เราไม่ได้ก่อขึ้น มันยุติธรรมแล้วหรือ ซึ่งในเรื่องนี้ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝงก็น่าเห็นใจเพราะของก็ไม่ได้ใช้แต่กลับต้องเสียเงินชำระหนี้อีก เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็ควรจะต้องระมัดระวังบัตร อย่าหลงลืมไว้ที่ใดเป็นอันขาด ควรเก็บไว้อย่างดีเช่นบุคคลทั่วไปควรระวัง แต่ถ้าผู้ถือบัตรทำบัตรหายโดยที่ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใดแต่กลับถูกคนขโมยไปและนำไปรูดซื้อสินค้า ควรที่จะกระทำดังต่อไปนี้
1.ต้องรีบไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็วที่สุดและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
2. ต้องนำหลักฐานคือใบแจ้งความหรือบันทึกประจำวันไปที่ธนาคารเพื่ออายัดบัตร
3. ต้องแสดงตัวว่าเราไม่ได้ใช้บัตรเครดิต เช่น ลายเซ็นต์การรูดบัตรและที่สำคัญต้องแสดงเวลาว่าในขณะที่มีการรูดบัตรเราอยู่คนละที่ พร้อมมีพยานรู้เห็นหรือยืนยันได้
4. ยังไม่ต้องชำระเงิน เพราะถ้าจ่ายไปเท่ากับยอมรับในหนี้นั้น
ส่วนทางธนาคารก็อาจยังคงเรียกเก็บเงินอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าเราจะดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้วก็ตาม ซึ่งถ้าทางธนาคารฟ้องก็ต้องต่อสู้กันตามขั้นตอนของศาล จะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่การพิสูจน์ว่าหลักฐานที่ใช้อ้างอิงนั้น จะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด