ถอดบทเรียนผู้บริโภคสู้หลังชนฝา กรณีซื้อรถยนต์ใหม่แต่มีปัญหา

เขียนโดย ศูนย์ข่าวผู้บริโภค. จำนวนผู้ชม: 11034

600912 news car
ซื้อรถยนต์ใหม่แต่ใช้ไปกลับต้องซ่อม เข้าศูนย์เช็คสภาพ แม้จะบริการตรวจเช็คให้ฟรีแต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ผู้บริโภคต้องจ่ายทั้งเงินผ่อนงวดรถ เงินค่าเดินทางอื่นๆ ที่ต้องมีมาเมื่อรถใหม่ที่ซื้อมาแล้วใช้งานไม่ได้ดังหวัง

การเข้ายื่นร้องเรียนต่อหน่วยงานพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภคจึงเป็นทางออกในการแก้ปัญหานี้ ซึ่งมีการเข้าร้องเรียนทั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค

การร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมกับผู้บริโภคของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคนั้น ได้ร่วมแก้ปัญหากับผู้บริโภคที่ร้องเรียนกรณีรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง โดยยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค ยื่นฟ้อง บริษัทผู้ผลิตรถ เป็นจำเลยที่ 1 บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เป็นจำเลยที่ 2 และบริษัทผู้เช่าซื้อรถยนต์เป็นจำเลยที่ 3

โดยเรียกฟ้อง 4 ประเด็นคือ 1.ขอให้รับผิดชอบคืนเงินดาวน์และค่างวดการเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วทั้งหมด 2.ขอให้บริษัทฯ รับผิดชอบค่าใช้สอยรถยนต์ต่อผู้ให้เช่าซื้อเต็มจำนวนแทนผู้บริโภค เนื่องจากสาเหตุที่ต้องบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกเงินคืนนั้นเพราะสินค้าชำรุดบกพร่องจากการผลิต ไม่ใช่จากการใช้งานปกติของผู้บริโภค 3.ขอให้ศาลห้ามบริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์รุ่นพิพาท และให้เรียกเก็บสินค้าดังกล่าวจนกว่าจะได้เปลี่ยนแปลงให้มีความปลอดภัย แต่หากแก้ไขไม่ได้นั้นห้ามผลิตหรือนำเข้ามาจำหน่าย และ 4.ขอเรียกค่าเสียหายต่อจิตใจที่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวล ตลอดเวลาในการใช้รถยนต์พิพาท

จากข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อที่ยื่นฟ้องไปนั้น ศาลพิพากษาผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทผู้ผลิต คืนเงินดาวน์ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันทำสัญญาจนถึงวันที่ชำระคืนให้ผู้บริโภคจนเสร็จและให้บริษัทผู้เช่าซื้อรถยนต์คืนเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมด ตั้งแต่วันรับฟ้องคดีพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระหมด แต่ให้ผู้บริโภคชำระเงินค่าใช้รถคืนให้กับบริษัทผู้เช่าซื้อรถยนต์วันละ 100 บาท ตั้งแต่วันรับรถจนกว่าจะคืนรถ

ส่วน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ศาลเห็นว่าไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่มีความผูกพันต้องรับผิด จึงได้ยกฟ้องไป เป็นเรื่องที่บริษัทผู้จำหน่ายจะต้องไปว่ากล่าวกันเอาเอง ส่วนกรณีการเยียวยาทางจิตใจและการงดจำหน่ายรถรุ่นที่เป็นประเด็นการฟ้องร้อง เพราะศาลมองปัญหาเป็นรายกรณี

นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์ว่า คดีนี้เป็นบรรทัดฐานให้กับสังคมได้นั่นก็คือการฟ้องคดีก็สร้างความเป็นธรรมได้ทั้งตัวผู้ร้องและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้นอย่ารอ ยิ่งรออาจะทำให้ยิ่งเกิดความเสียหาย ผู้บริโภคควรที่จะออกมาใช้สิทธิ์ คดีนี้รวมเวลาตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงการเรียกร้องสิทธิ์ที่ศาลราวๆ 3 ปี ศาลชั้นต้นจึงตัดสินให้เยียวยา

พร้อมกล่าวต่อว่าหากผู้บริโภคมีปัญหากรณีดังกล่าวสามารถปรึกษาได้ที่ ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 022483737 หรือร้องทุกข์ออนไลน์ที่ www.consumerthai.org

ภาพประกอบจาก Internet 

พิมพ์