ผ่าคลอดสูงลูกเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้

แพทย์สูติฯ  เตือนหญิงเลือกวิธีผ่าคลอด  ส่งผลลูกมีเปอร์เซ็นต์เป็นโรคภูมิแพ้  หอบหืด  และโรคอื่นๆ  สูงมากกว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ  เหตุเด็กไม่ได้รับแบคทีเรียสร้างภูมิคุ้มกันที่อยู่ตรงช่องคลอดเมื่อแรก เกิด 


     ในการเสวนาเรื่อง  "วิธีการคลอดกับผลกระทบสุขภาพเด็กแรกเกิด"  จัดโดยบริษัท  เนสเลย์   ประเทศไทย   จำกัด  รศ.นพ.วิทยา  ถิฐาพันธ์  ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา   คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  กล่าวว่า  ปัจจุบันอัตราการผ่าคลอดของหญิงตั้งครรภ์เพิ่มสูงขึ้นทุกปี   ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันทั่วโลก   สำหรับประเทศไทยมีอัตราการผ่าคลอดเพิ่มขึ้นทุกปี  โดยเฉพาะใน  รพ.เอกชน  ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า  ในปี  2533  มีอัตราผ่าคลอดอยู่ที่ร้อยละ   38.55  แต่ในปี  2549  เพิ่มเป็นร้อยละ  51.45  และเชื่อว่าปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ร้อยละ  80-90  แล้ว
     เมื่อดูอัตราการผ่าคลอดใน  รพ.ขนาดใหญ่ที่มีอัตราการคลอดอันดับต้นๆ  ของประเทศ  อาทิ  รพ.ราชวิถี  รพ.ศิริราช  ในปี  2550-2551  มีอัตราผ่าคลอดอยู่ที่ร้อยละ  30  เฉพาะในส่วน   รพ.ราชวิถี  พบว่าเป็นการผ่าคลอดหญิงตั้งครรภ์ครั้งแรก   ขณะที่  รพ.สงขลานครินทร์  พบว่ามีอัตราผ่าคลอดเพิ่มสูงเช่นกัน  อยู่ที่ร้อยละ  36-37  อัตราการผ่าคลอดที่เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าอัตราเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ไว้แค่  10%

     รศ.นพ.วิทยากล่าวว่า   อัตราการผ่าสูงมากในปัจจุบัน   ทำให้คาดการณ์ได้ว่า  ในอีก   10-20  ปีข้างหน้านี้   ประเทศไทยจะมีเยาวชนและวัยรุ่นที่ไม่แข็งแรง  และเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดจำนวนมาก   โดยเฉพาะในเมืองใหญ่  ส่วนเด็กต่างจังหวัดที่คลอดเองตามธรรมชาติจะแข็งแรงกว่า  เนื่องจากได้รับเชื้อแบคทีเรียช่วงคลอดตามธรรมชาติจากช่องคลอดของแม่  ซึ่งแบคทีเรียดังกล่าวเป็นแบคทีเรียที่ดี  ช่วยในสร้างภูมิกันโรคให้กับทารก  เป็นภูมิต้านทานแรกเกิด  ต่างจากการผ่าตัดหน้าท้องซึ่งทำให้เด็กไม่ได้รับ

     ขณะที่   รศ.นพ.สรายุทธ  สภาพรรณชาติ  ภาควิชากุมารเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์   รพ.รามาธิบดี  กล่าวว่า  จากงานวิจัยศึกษาพบว่า  ร้อยละ  70  ของเด็กที่ผ่าคลอดจะป่วยด้วยโรคภูมิแพ้  ต่างจากเด็กที่แม่คลอดเองตามธรรมชาติ   อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาโรคภูมิแพ้ระหว่างเด็ก  รร.เอกชนใน  กทม. กับเด็กใน  รร.ต่างจังหวัด  พบว่า  เด็ก  รร.เอกชนใน  กทม.เป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กในโรงเรียนต่างจังหวัด  ที่มีโอกาสสัมผัสดินทรายและเล่นกลางแจ้ง  ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน.

 

นสพ.ไทยโพสต์ 23-02-52

พิมพ์ อีเมล