เปิดผนึกถึง ‘ประยุทธ์’ และคณะ ‘หยุด CPTPP’ พร้อมเสนอ 6 เหตุผลที่ไทยไม่ควรเข้าร่วม

news pic 26052020 nocptpp 01

ปธ. สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ และคณะ ‘หยุด CPTPP’ พร้อมเสนอ 6 เหตุผลที่ไทยไม่ควรเข้าร่วมข้อตกลง ชี้ ในระยะยาวอาจเสียเปรียบมากกว่าได้ประโยชน์ และสำคัญจะส่งผลกระทบยาวนานต่อไปหลายชั่วอายุคน 

          จากการที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ มีความพยายามที่จะนำประเทศไทยเข้าสู่ความตกลง ‘ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก’ หรือ The Comprehensive and Progressive Agreement for Trans - Pacific Partnership (CPTPP) โดยอ้างว่าจากข้อตกลงนี้ ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์มากกว่าเสียผลประโยชน์ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะนำการเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยนั้น

          เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ดร.นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเนื้อหาในจดหมายระบุถึงประเด็นที่ประเทศไทยไม่ควรเข้าร่วมความตกลง CPTPP ว่า การที่ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีโดยตรง เนื่องจากมีความกังวลต่อท่าทีของรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่แสดงเจตจำนงจะนำประเทศไทยเข้าร่วมในความตกลง CPTPP มาโดยตลอดจนกระทั่งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ทันเวลาร่วมประชุมภาคีความตกลงดังกล่าวที่ประเทศเม็กซิโกในเดือนสิงหาคมนี้ ทั้งที่คณะทำงานด้านผลกระทบการค้ากับสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุข ได้รวบรวมข้อกังวลและผลกระทบด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหากไทยเข้าร่วมความตกลงนี้ ให้กับ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขณะนั้น เพื่อให้ไปแจ้งต่อรองนายกฯ สมคิด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาแต่อย่างใด

          ดร.นพ.หทัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันภาคีความตกลงฯ เหลือเพียง 11 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยทำการค้าเสรี (FTA) กับสมาชิก CPTPP จำนวน 9 ประเทศ เหลือเพียงประเทศแคนาดาและประเทศเม็กซิโกที่ถือได้ว่าเป็นตลาดใหม่ อีกทั้งผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้นั้นค่อนข้างต่ำ และคาดว่าจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.12 หรือ 13,323 ล้านบาทเท่านั้น รวมถึงการคาดการณ์ว่า การลงทุนจะขยายตัวถึงร้อยละ 5.14 หรือ 148,420 ล้านบาท ก็เป็นเพียงการประเมินก่อนหน้าวิกฤติโควิด - 19 ซึ่งมองว่าจะมีผลทำให้การค้าการลงทุนต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปได้อีกในอนาคต

          "การบริหารประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพียงนำผลประโยชน์เฉพาะหน้าแค่การส่งออกสินค้าระยะสั้นๆ มาพิจารณาเป็นหลักเท่านั้น ในระยะยาวประเทศไทยอาจเสียเปรียบมากกว่าได้ประโยชน์ และที่สำคัญจะส่งผลกระทบยาวนานต่อไปหลายชั่วอายุคน เพราะผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานราชการด้านเศรษฐกิจไม่ใส่ใจอย่างรอบคอบเท่าที่ควร อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาถึงผลดีผลเสียอย่างละเอียด จึงขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะทบทวนท่าทีของรัฐบาลใหม่ อย่าไปเข้าร่วม CPTPP เพื่อมิให้ความตั้งใจที่จะบริหารประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องล้มเหลว เพราะการตัดสินใจทางนโยบายที่ผิดพลาดครั้งนี้” ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวและว่า ทั้งนี้ ได้เสนอข้อเสนอข้อห่วงกังวลและผลกระทบต่อนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่ประเทศไทยไม่ควรเข้าร่วมความตกลง CPTPP ประกอบไปด้วย 6 ประเด็น ดังนี้

1. ศักดิ์ของ CPTPP กับความตกลงที่ไทยได้ (หรือจะ) เป็นภาคีด้านสาธารณสุข

          เช่น FCTC (กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ขององค์การอนามัยโลก ที่มีวัตถุประสงค์ป้องกันประชาชนจากพิษภัยร้ายแรงของยาสูบ), IHR (กฎอนามัยระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันควบคุมโรคที่อาจมีผลกระทบต่อการเดินทางและการค้าขายระหว่างประเทศ), ASEAN Medical Device (กฎระเบียบด้านเครื่องมือแพทย์ของอาเซียน ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลทางด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์) ซึ่ง CPTPP กำหนดว่า ต้องหาวิธีเป็นรายกรณี หากมีความขัดแย้งกันจะเกิดปัญหาในการปฎิบัติของกฎหมายต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุขได้

2. ภูมิปัญญาท้องถิ่น สมุนไพร ยา วัคซีน ชีววัตถุ ซึ่งล้วนเป็นความมั่นคงทางยาของประเทศไทย มีประเด็นต่างๆ ดังนี้

          1) แหล่งวัตถุดิบ : CPTPP บังคับเข้าร่วมอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) ซึ่งจะให้ความคุ้มครองในสิทธิ์ของและประโยชน์ต่อนักปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ แต่ไม่คุ้มครองชุมชนต้นทางของสายพันธุ์นั้นๆ

          2) การวิจัยและพัฒนา : ไทยต้องเปิดให้ต่างชาติทำธุรกิจบริการด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรชีวภาพของไทยและศึกษาทดลอง โดยไม่สามารถบังคับให้บริษัทเหล่านั้นถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้การลงทุนได้ ซึ่งจะกระทบต่อนโยบายไทยแลนด์ 4.0

          3) CPTPP บังคับให้ อย. ต้องเชื่อมกระบวนการระหว่างการจดสิทธิบัตรและการขึ้นทะเบียนยา (patent linkage) ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยาสามัญในประเทศ เพราะจะถูกห้ามหากยามีสิทธิบัตร โดยเฉพาะเมื่อยาได้รับสิทธิบัตรที่เป็น Evergeening (คือ ไม่มีความใหม่หรือนวัตกรรมที่สูงขึ้น หรือที่เรียกว่า สิทธิบัตรที่ไม่มีวันหมดอายุ) การขึ้นทะเบียนยาสามัญจะถูกระงับให้ล่าช้าออกไป

          4) ความตกลง CPTPP บังคับให้ประเทศภาคีจำกัดมาตราควบคุมยาต่างๆ ก่อนอนุญาตให้วางจำหน่าย (Premarketing control) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัยของยาได้

          5) ประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต/นำเข้า/ส่งออก : - ภาษีศุลกากร : ไทยจะไม่ได้ประโยชน์จากภาษีนำเข้าเนื่องจากภาษีต่ำอยู่แล้ว และไม่ได้ประโยชน์จาก CPTPP ในด้านการส่งออกเพราะวัตถุดิบอยู่นอก CPTPP ไม่เข้าเกณฑ์เรื่องกฎว่าด้วยการสะสม ถิ่นกำเนิด - เปิดการแข่งขันบริการผลิต และบริการข้ามประเทศโดยไม่ต้องตั้งบริษัทประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้หากเกิดเหตุที่ผิดกฎหมายไทย จะไม่สามารถเอาผิดข้ามประเทศได้

          6) ประเด็นการกระจาย/การใช้ และการเข้าถึง : - บังคับให้เปิดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ: ลดสิทธิพิเศษขององค์การเภสัชกรรม และอุตสาหกรรมไทย และใช้กลไกการจัดซื้อฯนี้ในนโยบายบัญชีนวัตกรรมไทยภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ได้จำกัดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อการจัดหายาจำเป็น (ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ) ยาขาดแคลน และยากำพร้า

          - เปิดแข่งขันบริการคลินิก/ ร้านยา บริการจัดจำหน่าย และระบบโลจิสติกส์

          - มีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกรัฐภาคีนำขึ้นสู่กรณีพิพาท หากไทยใช้การบังคับใช้สิทธิ์เพื่อผลิตหรือนำเข้ายา หรือที่เรียกว่ามาตรการ CL ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

          - การบังคับใช้สิทธิ์ หรือ CL ของรัฐสามารถถูกฟ้องร้องจากนักลงทุนภายใต้นิยามเรื่องการเวนคืนทางอ้อม และ/หรือเกิดการชะลอของกระบวนการใช้ CL ได้

3. เครื่องมือแพทย์

          1) การลดภาษีนำเข้า : อาจจะไม่กระทบให้ราคาสินค้าลดลงเนื่องจากอัตราปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ (0 - ร้อยละ 35)

          2) การต้องเปิดรับเครื่องมือแพทย์ปรับแต่งใหม่ (Remanufactured Medical Devices) แม้จะมีเจตนาที่ดีเรื่องการใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนที่ยังคงสภาพดี (ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม) แต่ไทยยังไม่มีความสามารถทางห้องปฏิบัติการที่เพียงพอสำหรับการตรวจประเมินคุณภาพ

          3) จำกัดและกำกับกระบวนการทำงานในช่วงพิจารณาอนุญาตก่อนขาย (Pre - Marketing Control) ตามความเสี่ยงของเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพ รวมทั้งมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภค

          4) การจัดหา/การใช้ ไทยต้องเปิดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ : ลดสิทธิพิเศษขององค์การเภสัชกรรม และเอกชนไทย และจะใช้กลไกการจัดซื้อฯ นี้ในนโยบายบัญชีนวัตกรรมไทยภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ได้จำกัดมาก สำหรับเครื่องมือแพทย์ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย เปิดแข่งขันบริการจัดจำหน่าย อีกทั้งระบบโลจิสติกส์บริการข้ามประเทศโดยไม่ต้องตั้งบริษัทประเทศไทย : กรณีเกิดเหตุที่ผิดกฎหมายไทยจะไม่สามารถเอาผิดข้ามประเทศได้

          5) การกำจัด : ต้องการเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ไทยเป็นแหล่งทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไทยกลับไม่สามารถบังคับให้บริษัทเหล่านี้ถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการลงทุนจากต่างประเทศได้

4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          1) เครื่องดื่มนำเข้า : ต้องลดภาษีให้เหลือศูนย์ จะทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาลดลง ประชาชน โดยเฉพาะนักดื่มหน้าใหม่เข้าถึงได้มากขึ้น กระตุ้นการดื่มเพิ่มมากขึ้นส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคและอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งความพิการและถึงชีวิต

          2) การควบคุมการขาย/บริโภค

          - มาตรการต่างๆ ที่คุ้มครองผู้บริโภคสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจากนักลงทุน ด้วยกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนหรือที่เรียกว่า ISDS (Investor - State Dispute Settlement) เพราะเป็นมาตรการที่ต้องการลดการบริโภค แต่มีผลต่อรายได้ของนักลงทุน และกลไกระงับข้อพิพาทโดย ISDS รัฐสุ่มเสี่ยงที่จะแพ้ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า

          - ฉลาก : จำกัดการควบคุมการโฆษณาบนฉลาก และจำกัดพื้นที่เรื่องคำเตือนสุขภาพ เพราะ CPTPP กำหนดเนื้อหาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่แสดงบนฉลากไปแล้ว

          - จำนวน/สัดส่วน บริการที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องดื่ม

          - การห้ามขายบางเวลา : ให้เปิดแข่งขันบริการ จัดจำหน่ายและโลจิสติกส์ ; การโฆษณาข้ามแดน; การขายข้ามประเทศโดยไม่ต้องตั้งบริษัทในไทย

          - ให้ความสำคัญกับการทำ CRSR (Corporate Social Responsibility) ของธุรกิจซึ่งอาจขัดแย้งกับ พรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          - การให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงนโยบายด้านสุขภาพ

5. บริการ (บริการสุขภาพโดยบุลากรการแพทย์และบริการโรงพยาบาล/คลินิก)

          กำหนดให้เปิดเสรี ยกเว้นกรณีไม่ต้องการเปิด ให้กำหนดยกเว้นในภาคผนวก(Negative List Approach)

6. ประเด็นอื่นๆ

          6.1 อาหาร : ต้องเปิดรับอาหาร GMO ให้มากขึ้น; ลดการควบคุมกำกับก่อนออกตลาด (Pre - Marketing Control)

          6.2 เครื่องสำอาง : ลดการควบคุมก่อนออกตลาด (Pre - Marketing Control) และไม่ให้ใช้เลขจดแจ้ง (Notification Number)

          6.3 ยาสูบ : มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการบริโภคได้รับการยกเว้นจาก CPTPP แต่ไม่รวมบริการจัดจำหน่าย

          6.4 ความไม่แน่นอนของการนำข้อบทที่ถูกระงับชั่วคราว (Suspended) กลับมาบังคับใช้ : เนื่องจากข้อบทที่อยู่ใน TPP ด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยามีอยู่จำนวนมากทั้งในด้านการขยายระยะเวลาสิทธิบัตร การผูกขาดข้อมูลยาและตลาดยา การเปิดกว้างของสิ่งที่จดสิทธิบัตรได้ซึ่งรวมถึงการใช้ จึงมีความกังวลว่า หากข้อบทเหล่านั้นถูกพิจารณานำกลับมาใช้อีกในอนาคต (เมื่อสหรัฐฯ กลับเข้ามาร่วม CPTPP อีกครั้ง) จะส่งผลกระทบด้านลบอย่างมากต่อการเข้าถึงยาและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และระบบยา (ความมั่นคงทางยาของประเทศ) และจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินงานด้านหลักประกันสุขภาพของไทย (UHC)news pic 26052020 nocptpp 2

Tags: ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค , CPTPP, ประยุทธ์, ประเทศไทย, สถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย, มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ, จดหมายเปิดผนึก

พิมพ์ อีเมล