บ้านเรือนเคียงกัน โผล่มาทุกวันเลยเชียว

neighbors สวัสดีครับ...ท่านผู้อ่านทุกท่าน ถึงเวลาพบกันตามนัดหมายอีกครั้ง สำหรับเรื่องเด่นประจำสัปดาห์ พร้อมนำเสนอเรื่องราวที่มีสาระข้อคิดมุมมองต่าง ๆ ทั้งที่ได้ประสบพบเจอหรือที่อ่านผ่านมา ในช่วงของเล่าสู่กันฟังจะพูดคุยกันในเรื่อง กาลเวลาที่ผ่านพ้นไป


     เมื่อเอ่ยถึง “เวลา” แล้ว ก็ต้องถือว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่เที่ยงตรงที่สุดและขยันที่สุด เพราะเวลาจะไม่มีหยุดนิ่งหรือพักผ่อน เมื่อเดินไปแล้วก็จะไม่หวลคืนกลับมาอีก ถ้าท่านสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเวลานั้นจะเดินเคียงคู่ไปกับชีวิตของเรา เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าใดอายุของคนเราก็มากขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไปเท่านั้น
     ท่านเคยลองคิดหรือไม่ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้น ท่านรู้สึกเสียใจหรือเสียดายอะไรมากที่สุดที่ท่านอยากทำและไม่ได้ทำ และถ้าย้อนเวลาในอดีตกลับมาได้ ท่านอยากทำอะไรโดยที่ท่านยังไม่ได้ทำบ้างเราลองมาคุยกันดูนะครับ


     ประการแรก ท่านอยากจะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ใช่หรือไม่ อยากเชื่อฟังท่าน ไม่ตวาดหรือเถียงเวลาที่ท่านบ่นหรือสั่งสอนเรา เพราะตอนนี้ท่านก็คงจะรู้แล้วว่าคนที่รักเรามากที่สุดไม่ใช่เพื่อนสนิทของท่านแต่เป็นพ่อแม่ต่างหาก ถึงแม้จะเติบโตมานานเท่าไหร่ก็ตาม แต่สิ่งที่พ่อแม่พูดหรือสั่งสอนก็มีคุณค่าควรแก่การรับฟังและนำไปปฏิบัติตามตลอดเวลา เพราะฉะนั้นถ้าท่านใดโชคดีมีพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จงทำความดี อย่าให้ผู้มีพระคุณกับเราต้องเสียใจหรือเสียน้ำตาเป็นอันขาด
     
     ประการที่สอง
  ท่านคงเสียดายเวลาที่ผ่านมาในขณะที่ท่านยังแข็งแรงยังมีกำลังวังชา แต่ท่านกลับไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าท่านไม่กล้าที่จะทำหรือว่าทำแล้วกลัวจะไม่ประสพผลสำเร็จ พออายุมากขึ้นมีความคิดอยากจะทำแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะร่างกายหรือสังขารในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเหมือนแต่ก่อน เพราะฉะนั้นคนที่ยังแข็งแรงอยากทำอะไรก็ต้องรีบทำซะ และตระหนักอยู่เสมอว่าความล้มเหลวของมนุษย์ ก็คือการที่ท่านไม่ได้กระทำในสิ่งที่คุณต้องการที่จะทำนั่นเอง
   
     ประการที่สาม
  ถ้าในอดีตท่านไม่ได้ไปเที่ยวที่ใดในขณะที่ท่านยังไปไหนมาไหนด้วยความคล่องแคล่ว เพื่อนชวนไปเที่ยวที่ไหนท่านกลับไม่ไป อ้างว่า ไม่มีเวลาบ้างละ ไม่มีเงินบ้างละ มาถึงปัจจุบันนี้อายุมากขึ้นท่านมีเงินมีเวลา แต่จะไปไหนก็ไปไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งไปลำบากกลับไปเป็นภาระให้กับคนอื่นเสียอีก เพราะฉะนั้นเมื่อร่างกายยังแข็งแรงควรรีบไปพักผ่อน เมื่อร่างกายแข็งแรงจิตใจก็ย่อมเบิกบานไปด้วย การเที่ยวก็จะมีแต่ความสนุกสนานไม่มีความทุกข์

     ประการที่สี่  ในอดีตลืมพูดคำว่า รัก รักคำนี้อาจจะเป็นคำบอกรักพ่อแม่ บอกรักครอบครัวของท่านรวมไปถึงการที่จะบอกรักคู่ครองของท่านให้มากกว่าเดิม ซึ่งตอนนั้นเราก็มีความรักเขาเหมือนเช่นตอนนี้ไม่เสื่อมคลายเพียงแต่ไม่ได้พูดคำว่ารักออกมาเท่านั้นเอง เมื่อไม่ได้พูดก็เหมือนกับหัวใจที่ไม่ยอมเปิดนั่นเอง
ประการที่ห้า ในอดีตท่านอาจจะตัดความกังวลอันเป็นบ่อเกิดแห่งความเครียดให้น้อยลง เพราะที่ผ่านมามัวแต่ไปกังวลเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ยังไม่เกิดก็เอามาคิด เมื่อคิดแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย กังวลแล้วทำให้เรื่องที่กังวลจบลงได้หรือไม่ โดยความกังวลไม่ได้ทำให้เรื่องนั้นจบลงด้วยดีหรือเลวกว่าเดิมเปลืองสมองและเวลาของท่านไปเปล่า ๆ
ในช่วงของเล่าสู่กันฟังก็ขอจบเพียงเท่านี้ ช่วงต่อไปก็คงเป็นช่วงของ มุมมองของกฎหมาย ซึ่งวันนี้จะขอเสนอในเรื่อง  บ้านเรือนเคียงกัน

     ถ้าท่านซื้อบ้านใหม่ก็จะต้องมีการตกแต่งบ้านให้สวยงาม ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องให้สะดุดตา โดยที่ท่านอาจนำต้นไม้หรือไม้ประดับมาปลูกบริเวณบ้าน ซึ่งไม้ประดับก็คงไม่มีปัญหาอย่างใดเพราะมันคงไม่ไปลุกลามกับบ้านอื่น แต่ถ้าเป็นพวกไม้ยืนต้น เช่น มะม่วง หรือ มะพร้าว ปลูกไปหลายปีมีรากงอกยาวออกมาและชอนไชเข้าไปในบ้านใกล้เรือนเคียง กฎหมายอนุญาตให้เจ้าของบ้านที่มีรากรุกล้ำเข้ามาสามารถตัดมันได้ แต่ถ้าเป็นกิ่งไม้ที่ยื่นล้ำเข้ามาข้ามรั้วเข้ามาในบ้านของท่าน ถ้าเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็ทำเฉยเสียก็ได้ แต่ถ้าจะตัดกฎหมายก็ให้สิทธิท่านตัดได้ แต่ก่อนที่จะตัดท่านจะต้องบอกกล่าวกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่เป็นเจ้าของต้นไม้นั้นเสียก่อน ซึ่งท่านอาจจะบอกกับเจ้าของโดยตรงหรือคนเช่าก็ได้ ในทางกฎหมายได้กำหนดเวลาให้เขาตัดด้วย ถ้าเขาไม่ตัดภายในกำหนดเวลาที่ท่านบอก ท่านก็มีสิทธิที่จะตัดมันได้เอง

     นอกจากกิ่งไม้แล้วมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาที่เถียงกันจนเกิดทะเลาะกัน บางบ้านไม่พูดกันเลยก็มี สิ่งนั้นก็คือ ผลไม้ ซึ่งบ้านส่วนมากจะนิยมปลูก มะม่วง ชมพู่ เอาไว้ทานกัน และถ้ากิ่งต้นไม้นั้นโตขึ้นและรุกล้ำเข้ามาในที่ของท่าน มีผลห้อยโตงเตงเข้ามาในที่ของท่าน ท่านก็เลยสอยไปกินซะเลย อย่างนี้กฎหมายบอกว่า หากดอกผลแห่งต้นไม้ที่หล่นตามธรรมดาลงในที่ดินของท่าน เพราะฉะนั้นท่านจะต้องรอให้สุกก่อนและร่วงลงมาเองท่านถึงจะเก็บมาทานได้ จะไปเด็ดจากขั้วของมันไม่ได้เป็นอันขาด เพราะกฎหมายห้ามไว้

     ที่ว่าหล่นมาตามธรรมดานั้นกฎหมายตีความว่า แม้ว่ากิ่งของต้นไม้นั้นจะไม่รุกล้ำเข้ามาในเขตของบ้านท่าน แต่ลูกของมันหล่นตามธรรมดาลงบนรั้วและมาตกในบ้านของท่าน ท่านก็สามารถเก็บทานได้เลย ถึงแม้เจ้าของจะออกมาเห็นพอดีก็ตาม ท่านก็ไม่ต้องมีมารยาทไปขออนุญาตเขาก็ได้ เพราะกฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นดอกผลของที่ดินแปลงของท่าน แต่ในทางปฏิบัติเพื่อมิให้มีการทะเลาะหรือบาดหมางกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด เมื่อเจ้าของบ้านออกมาเห็นก็อาจจะขออนุญาตหรือนำไปคืนเจ้าของ เพราะเขาเห็นผลได้นั้นหล่นมาจากต้นของเขาเอง มิได้หล่นมาจากต้นของท่าน ท่านจึงต้องขออนุญาตก่อนที่จะนำไปทาน ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตก็คืนเขาไปจะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง เป็นเพื่อนบ้านกันช่วยดูแลบ้านให้กันและกันจะดีที่สุด

     อีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ในกรณีที่ท่านไม่ถูกกับเจ้าของบ้านที่มีผลไม้ตกลงมา ท่านไม่เก็บมาทานจะดีที่สุด หรือไม่ก็เก็บคืนเจ้าของเขาไป เพราะถ้าท่านไม่ทำดังนั้นจะอ้างกฎหมายก็จะมีปัญหาตามมาเพียงเพื่อจะเอาผลได้ 1-2 ผลเท่านั้น ซึ่งเขาอาจจะแจ้งความเป็นคดีอาญาหาว่าลักทรัพย์ของเขาก็ได้ ทำให้เสียเวลาและกระทบกระทั่งกันมากขึ้น แต่ถ้าอยากกินจริง ๆ ขอแนะนำว่าไปซื้อกินเองดีกว่าครับ จะได้กลืนสะดวก ๆ ไม่ต้องมาติดคอในภายหลัง

     วันนี้คงต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องเด่นประจำสัปดาห์ ขอให้มีความสุขและโชคดีทุก ๆ ท่านครับ :)

โดย ชูชาติ คงครองธรรม (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค)

 

พิมพ์ อีเมล