มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคไม่เห็นด้วยเครดิตบูโร เก็บประวัติผู้ค้างชำระน้ำ ไฟฟ้า

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคค้านจัดเก็บประวัติการชำระเงินค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ของเครดิตบูโร เหตุไม่ใช่ตัวบ่งบอกเครดิต แนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลก่อน และให้ดูถึงมาตรฐานทางการค้าในการจัดเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคด้วย


Consumerthai – 28 ม.ค. นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ให้ความเห็นต่อกรณีการที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจำกัด ( เครดิตบูโร) จะขอให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เครดิตบูโรสามารถจัดเก็บประวัติการชำระค่าระบบสาธาณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์ เพิ่มขึ้นมานั้น ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเก็บข้อมูลเครดิตในส่วนนี้ อยากให้มีการดำเนินการเฉพาะในส่วนของสินเชื่อ การกู้ยืม การใช้บัตรเครดิต และการทำประกันภัย ที่เป็นส่วนของการเงินโดยตรง เท่าเดิมก็พอแล้ว

“การติดค้างชำระอาจจะเกิดจากเหตุไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นปัญหามากๆก็คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่มีใบแจ้งชำระหนี้กับใบเตือนให้ชำระหนี้อยู่ในใบเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นการไฟฟ้านครหลวงหรือบริการโทรศัพท์ จะมีใบแจ้งเตือนให้ชำระหนี้แยกออกมาต่างหาก ทำให้ผู้บริโภค มีเวลาและความระมัดระวังในการชำระหนี้ได้ทันภายในกำหนด และไม่ถูกระงับใช้บริการ  อีกกรณีหนึ่งคือ การที่ผู้ขอใช้ไฟใช้น้ำ เป็นคนละคนกับผู้ที่ใช้น้ำใช้ไฟจริงๆ เช่นกรณีบ้านเช่า ถ้าหากผู้เช่าบ้านชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคล่าช้า คนที่จะถูกบันทึกเครดิตเสียจะเป็นชื่อผู้ที่ขอใช้ไฟใช้น้ำตัวจริงแทน  จะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก และอันที่จริงแล้วผู้ที่ไม่ชำระค่าสาธารณูปโภคก็จะถูกลงโทษด้วยการระงับใช้บริการอยู่แล้ว การมาจัดเก็บข้อมูลเครดิตจึงเป็นการซ้ำเติมผู้บริโภค



ประเด็นปัญหาที่สำคัญคือข้อมูลเครดิตในกรณีหนี้เสียจะถูกบันทึกไว้ถึง 3 ปีแม้จะมีมีการชำระหนี้หมดสิ้นแล้ว โดยไม่มีขอบเขตยอดหนี้ ดังนั้นคนที่หนี้เพียงแค่ 0.05 สตางค์กับเจ้าหนี้และไม่ได้เคลียร์ให้จบสิ้นข้อมูลนี้ก็ยังคงค้างต่อไปอีก 3 ปี เท่ากับคนที่มีหนี้จำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากมีการจัดเก็บข้อมูลเครดิตในเรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ โดยเฉพาะกับผู้ใช้บริการรายย่อยซึ่งมีวงหนี้ไม่สูงนักก็จะก่อให้เกิดปัญหา กับประชาชนในการขอสินเชื่อได้โดยเฉพาะสินเชื่อในกลุ่มที่อยู่อาศัย  ซึ่งพบว่าในขณะนี้สถาบันการเงินมักนำข้อมูลเครดิตบูโรของผู้ขอสินเชื่อมาใช้ ปฏิเสธในการอนุมัติสินเชื่อ

จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะมีการอ้างหลักสากลว่ามีจัดเก็บประวัติค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ด้วย แต่อยากให้มองถึงระบบเศรษฐกิจของสังคมไทยด้วย เพราะถ้ามีการจัดเก็บประวัติในส่วนนี้ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา และสร้างความกดดันให้กับประชาชนหลายเท่าตัว  ซึ่งในวันที่ 31 มกราคมนี้ เวลา 13.30 น. ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะเข้ายื่นหนังสือคัดค้านและยื่นข้อเสนอต่อประเด็น ดังกล่าว ที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ” นายอิฐบูรณ์กล่าว

พิมพ์ อีเมล