ถึงคราวต้องมีกองทุนช่วยเหลือผูป่วย

เขียนโดย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.). จำนวนผู้ชม: 3446

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันออกกฎหมายกองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข และควรให้สำนักงานกองทุนเป็นอิสระจากกระทรวงสาธารณสุข ไม่เห็นด้วยที่กองทุนจะขึ้นกับกรมสนับสนุนบริการสาธารณสุข

จากกรณีที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นผ่าตัดตาต้อกระจกให้ผู้ป่วยจำนวน 28 ราย ระหว่างวันที่ 14-16 ธันวาคม 2552 และหลังผ่าตัดพบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวน 11 ราย และตาบอด 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในสิทธิหลักประกันสุขภาพ 7 ราย และสิทธิข้าราชการ 4 รายนั้น

ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายผู้ป่วยตาต้อกระจกที่ขอนแก่นเบื้องต้น ตามมาตรา 41 ของกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้ในสิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) จำนวน 7 ราย ๆ ทั้งนี้ในกรณีทุพพลภาพถาวรนั้นจะได้รับการช่วยเหลือได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อราย

เนื่องจาก พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 41 ให้มีการกันเงินไว้ไม่เกินร้อยละ 1 ในการช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุข โดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด และปัจจุบันมีกลไกการพิจารณาอนุมัติในทุกจังหวัดโดยคณะอนุกรรมการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ที่มีองค์ประกอบของผู้รับบริการ ผู้ให้บริการในสัดส่วนที่เท่ากัน และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีหลักเกณฑ์การจ่ายดังนี้

- เสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จ่ายเงินไม่เกิน 200,000 บาท

- สูญเสียอวัยวะ หรือพิการ จ่ายเงินไม่เกิน 120,000 บาท

- บาดเจ็บหรือ เจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายเงินไม่เกิน 50,000 บาท


แต่กองทุนตามกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ครอบคลุมระบบหลักประกันในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ระบบสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม นอกจากนี้การช่วยเหลือเบื้องต้นยังมีความจำกัดในเรื่องวงเงินงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถเยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขที่เกิดขึ้นได้จริง

ปัจจุบันพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข ได้ถูกนำเสนอโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 รายชื่อ ต่อประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552 และรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน แต่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้กองทุนคุ้มครองผู้เสียหายมีสำนักงานภายใต้กรมสนับสนุนบริการสาธารณสุข

จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีฐานะเป็นผู้ให้บริการและเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายในหลายกรณี เช่นกรณีโรงพยาบาลขอนแก่น จึงไม่อยู่ในฐานะที่เป็นกลาง และไม่ได้รับการยอมรับจากเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ และองค์กรผู้บริโภค

จึงเรียกร้องให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีสำนักงานที่มีความเป็นกลาง เป็นอิสระ และเข้าถึงได้ง่าย เพื่อประสิทธิภาพในการชดเชย และเยียวยาความเสียหายตลอดตนลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

พิมพ์