นักวิชาการแนะครม.ทบทวนมติขยายประกันสังคมครอบคลุมบุตร-คู่สมรสไม่เกิดประโยชน์ หวั่นระบบบัตรทองล้ม

นักวิชาการสุขภาพฟันธงชี้เกาไม่ถูกที่คัน ให้รัฐบาลทบทวนมติ ครม.ขยายสิทธิประกันสังคมครอบคลุมบุตร-คู่สมรส ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยบัตรทอง แนะปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพจะดีกว่า หวั่นทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าล้ม


สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดประชุมระดมความคิดเห็นทางเลือกนโยบายในการสร้างหลักประกันสุขภาพครอบครัวผู้ประกันตนในระบบหลักประกันสังคม ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน เพื่อพิจารณากรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ศึกษาความเหมาะสมของการขยายสิทธิประกันสังคมให้กับคู่สมรส และบุตรของผู้ประกันตน ประมาณ 5.8 ล้านคน จากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของ สปสช. ย้ายมาอยู่ในระบบประกันสังคม โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) นักวิชาการระบบสาธารณสุข นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เป็นต้น


ทั้งนี้ นักวิชาการที่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วย เพราะไม่เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยบัตรทองที่จะย้ายไปอยู่ในระบบประกันสังคม พร้อมแนะรัฐบาลควรปรับปรุงระบบประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ขยายสิทธิการรักษาสุขภาพ และขยายหน่วยบริการสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ 

นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ให้รัฐบาลทบทวนมติ ครม.ดังกล่าว เพราะการเร่งรีบดำเนินการดังกล่าวไม่ได้แก้ไขปัญหาระบบประกันสุขภาพของประเทศเลย และไม่มีความชัดเจนว่าจะสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับระบบในภาพรวมของประเทศอย่างไร เพราะการขยายสิทธิดังกล่าวไม่ทำให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงระบบให้ดีขึ้น มีแต่การเพิ่มสิทธิประโยชน์กับคู่สมรสและบุตร เหมือนกับเกาไม่ถูกที่คัน แก้ปัญหาไม่ถูกจุด แต่ถ้ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติ ครม.ต่อไป นักวิชาการในที่ประชุมได้เสนอรูปแบบให้สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการจัดสรรงบประมาณ แยกกองทุนด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนออกมาจากงบประมาณสวัสดิการส่วนอื่น ส่วนการบริหารจัดการด้านการรักษาพยาบาลนั้น ให้ สปส.มาซื้อบริการรักษาพยาบาลจาก สปสช.แทน ทั้งนี้ สปสช.จะนำมติที่ประชุมเสนอให้กับบอร์ด สปสช. พิจารณาในวันที่ 14 กันยายน ก่อนรายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบ


รศ.นพ.ดร.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ ผู้ช่วยอธิการบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โดยหลักการเห็นด้วยกับการที่คู่สมรสและบุตรจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากที่สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือเงินชดเชยจากการทุพพลภาพและเสียชีวิต แต่สิทธิเดิมที่เคยได้รับจาก สปสช.ก็ยังคงอยู่ ภาพรวมของทั้งประเทศเรื่องการจัดการด้านสุขภาพจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน เป็นเรื่องดีที่ สปสช.จะเข้ามาดูแลเฉพาะในส่วนของการรักษาพยาบาลของสวัสดิการอื่นๆ


นางวิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับนโยบายขยายประกันสังคมให้ครอบคลุมคู่สมรสและบุตร แต่ยังมีความกังวล คือ 1.หากโอนคู่สมรสและบุตรมาแล้วจะต้องไม่กระทบสิทธิผู้ประกันตนเดิม และ 2.จะต้องไม่เก็บเงินเพิ่มจากผู้ประกันตนอย่างซ้ำซาก ที่สำคัญ สปส.ควรดูแลผู้ประกันตนให้ดีและเข้าถึงบริการก่อน เพราะระบบประกันสังคมมีเงินค่อนข้างสูงถึง 5 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นกองทุนขนาดใหญ่จึงควรให้บริการที่มีประสิทธิภาพ


น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ควรทบทวนมติ ครม.ใหม่ เพราะไม่ทำให้ระบบสาธารณสุขไทยดีขึ้น ไม่ได้เป็นการปรับปรุงระบบสาธารณสุขในเชิงปฏิบัติ เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเงินเท่านั้น เป็นการปฏิรูประบบบริการสุขภาพที่ไม่เป็นธรรม อาจทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าล้มได้ 


นางสุจิตรา บุญชู รองเลขาธิการ สปส. กล่าวว่า ขณะนี้ สปส.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการขยายความคุ้มครอง โดยมีฝ่ายลูกจ้างเป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง 4 คน ฝ่ายนายจ้าง 5 คน และทางราชการ 6 คน จากกระทรวงสาธารณสุข สปสช. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และ สปส. เพื่อศึกษาแนวทางขยายและพิจารณาค่าใช้จ่าย ส่วนได้ข้อสรุปเป็นอย่างไรนั้น สปส.จะเปิดประชาพิจารณ์จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกครั้ง

นสพ.มติชน 09/09/09

พิมพ์ อีเมล